thansettakij
ส่งออกไทยระส่ำ สหรัฐฯ จำกัดวีซ่า ปมส่งอุยกูร์ หวั่นกำแพงภาษี

ส่งออกไทยระส่ำ สหรัฐฯ จำกัดวีซ่า ปมส่งอุยกูร์ หวั่นกำแพงภาษี

17 มี.ค. 2568 | 08:43 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มี.ค. 2568 | 08:56 น.

สหรัฐฯ จำกัดวีซ่า ปมส่งอุยกูร์ 'สมาพันธ์เอสเอ็มอี' ชี้รัฐต้องเปิดข้อมูล หวั่นกระทบส่งออกไทยพันล้าน พร้อมแนะยุทธศาสตร์ปรับตัวรับมือวิกฤต

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจากกรณี "การส่งชาวอุยกูร์กลับจีน" และมาตรการตอบโต้ของสหรัฐฯ ได้จุดประกายความกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับผลกระทบที่จะตามมาต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้าและการลงทุน ผู้สื่อข่าว “ฐานเศรษฐกิจ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เจาะลึกบทผลกระทบจากปมร้อน

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญอันดับสองของไทย รองจากอาเซียน ด้วยมูลค่าการส่งออกในปี 2567 ที่สูงถึง 1.921 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเกือบร้อยละ 10 ของ GDP ประเทศไทย การที่สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า เช่น การลดความช่วยเหลือทางการค้า การตั้งกำแพงภาษี หรือการตอบโต้ทางการค้า ย่อมส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ

ส่งออกไทยระส่ำ สหรัฐฯ จำกัดวีซ่า ปมส่งอุยกูร์ หวั่นกำแพงภาษี

นอกจากนี้ การที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ยิ่งทำให้ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐฯ มากขึ้น หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น การลงทุนจากสหรัฐฯ ในไทยก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

ผลกระทบด้านสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มากกว่าแค่เรื่องเศรษฐกิจ

ผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น การลดหรือระงับความช่วยเหลือด้านสังคม การศึกษา และสาธารณสุข ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย นอกจากนี้ การกวดขันแรงงานไทยผิดกฎหมายในสหรัฐฯ อาจสร้างความเดือดร้อนให้กับแรงงานไทยและครอบครัวของพวกเขา

ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่การลดความสัมพันธ์ทางการทูตและความร่วมมือทางทหาร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของไทยในภูมิภาค

ยุทธศาสตร์การปรับตัว จากวิกฤตสู่โอกาส

  • เพื่อลดผลกระทบและพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส นายแสงชัยเสนอแนะยุทธศาสตร์การปรับตัวที่ครอบคลุมในหลายมิติ ดังนี้
  • สร้างสมดุลทางการทูต ไทยต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐฯ EU และจีน โดยใช้หลักการความเท่าเทียมและมิตรภาพ
  • ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการสร้างดุลภาพการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยี นวัตกรรม และตลาดใหม่สำหรับเอสเอ็มอี
  • ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างมูลค่า สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การแปรรูปยางพารา การผลิตสารสกัดสมุนไพร และการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร
  • แสวงหาตลาดใหม่ ขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ BRICS RCEP และ ASEAN ส่งเสริมสินค้า GI และ Soft Power ของไทย
  • พึ่งพาตลาดภายในประเทศ สนับสนุนการท่องเที่ยวไทย แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไทย และการผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า
  • เจรจาทางการค้า เปลี่ยนความขัดแย้งทางการค้าเป็นการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก FTA

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสและการตรวจสอบข้อมูลจากรัฐบาลไทย การเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนเกี่ยวกับสถานการณ์ชาวอุยกูร์ การประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และการวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งในและต่างประเทศ

ผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและข้อตกลงการค้าเสรี

ความตึงเครียดระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหภาพยุโรป (EU) ไทยต้องแสดงความจริงใจในการรักษาสิทธิมนุษยชนและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ EU เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ FTA Thai – EFTA (สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป) นับเป็นความร่วมมือที่สำคัญเริ่มต้นกับการค้า การลงทุนระหว่างประเทศไทยและยุโรปที่จะขยายผลไปสู่การเจรจาการค้า FTA Thai EU UAE และประเทศต่างๆในอนาคตด้วย มีโอกาสและความท้าทายของไทยที่ปัญหาการตอบโต้จากทางสหภาพยุโรปในการประณามการส่งกลับอุยกูร์จะเกิดผลกระทบกับการเจรจาการค้าที่มีความยากขึ้น ซึ่งไทยต้องใช้ความจริงใจในการให้ข้อเท็จจริง ข้อมูลที่ถูกต้อง ความจำเป็นและการมุ่งมั่นในการรักษาสิทธิมนุษยชนของอุยกูร์และด้านอื่นๆที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญมีความเชื่อมั่น ตลอดจนการวางแผนเจรจาเชิงลึกและเตรียมพร้อมการติดตามอุยกูร์ที่ส่งกลับเป็นอย่างดีจะทำให้ผลกระทบลดลง

ด้านการเจรจาเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนระหว่างไทยและยุโรปที่มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกัน โดย EU เป็นตลาดส่งออกของไทย อันดับที่ 4 รองมาจากอาเซียน สหรัฐอเมริกา จีน โดยมีสัดส่วน 8.1% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

มาตรการจำกัดวีซ่าของสหรัฐฯ เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยในการทบทวนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและการต่างประเทศ การปรับตัวอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การสร้างความสมดุลทางการทูต และการส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง จะช่วยให้ไทยสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว