อาหารพร้อมรับประทาน มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 7% ในประเทศไทย และยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก โดยมีช่องทางหลักมาจากร้านสะดวกซื้อ และการขยายตัวของเมืองใหญ่ เนื่องจากกว่า 50% ของรายได้อาหารพร้อมรับประทานจะอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการขยายรถเส้นทางรถไฟฟ้า ก็จะยิ่งทำให้มีประชาชนเข้ามาอยู่ในเมืองเพิ่มมากขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อดูจากอัตราการก่อสร้างของอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรองรับคนเมือง
ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และความต้องการสะดวกสบายอาหารประเภทดังกล่าวจึงตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในอนาคตผู้บริโภคจะหันมารับประทานผัก หรือแพลนต์เบสกันมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีแนวทางพัฒนาไปสู่ทิศทางอาหารประเภทดังกล่าวก็น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ขณะที่พระเอกของบริษัทอย่างผักโขมอบชีสที่ได้รับความนิยมอยู่แล้วก็น่าจะเติบโตเพิ่มมากขึ้น “ชณา วสุวัต” กรรมการผู้จัดการ บจก.แวลู ซอร์สซิ่ง กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” อย่างมั่นใจ
จุดเริ่มต้นธุรกิจ
ชณา บอกว่า ธุรกิจที่บริษัททำอยู่คืออาหารพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ “REO’S deli” ประกอบด้วย ผักโขมอบชีส, ลาซานญ่า, มันฝรั่งบดอบชีส และมะกะโรนีอบชีส โดยมีที่มาที่ไปของไอเดียในการสร้างธุรกิจมาจากการที่ตนได้รู้จักกับเทคโนโลยีการนำอาหารที่ร้อนไปลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้โรงแรมขนาดใหญ่สามารถจัดเลี้ยงแขกกว่า 1 พันคนได้ในเวลาเดียวกัน เมื่อครั้งที่ไปศึกษาหาความรู้ที่ประเทศอังกฤษเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา เมื่อเรียนจบกลับมาจึงได้ทำอาหารประเภทดังกล่าวจำหน่าย แต่ปรากฏว่าไม่มีลูกค้า เนื่องจากในอดีตนั้นเครื่องไมโครเวฟมีราคาสูงมากถึงหลักหมื่นบาท ผู้บริโภคในประเทศจึงยังไม่มีใช้กันอย่างแพร่หลายเหมือนปัจจุบัน
ทั้งนี้ แนวคิดดังกล่าวจึงถูกพับลง และตนก็หันไปทำธุรกิจทางด้านอื่น จนกระทั่งเมื่อประมาณปี 2552 จึงมีแนวคิดที่จะทำอาหารพร้อมรับประทานอีกครั้ง เมื่อมีเพื่อนท่านหนึ่งที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟต้องการให้แฟนซึ่งเปิดร้านอาหารขนาดเล็กทำลาซานญ่า และผักโขมอบชีสซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมของร้านไปวางจำหน่าย อีกทั้งมีญาติท่านหนึ่งต้องการนำไปออกบูธด้วย และได้นำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่าย 300 กล่อง ปรากฏว่าสามารถจำหน่ายได้หมดภายในวันเดียว จากงานที่จัด 3 วัน ตนจึงมองเห็นโอกาสแล้วว่าอาหารประเภทดังกล่าวน่าจะทำตลาดได้
อย่างไรก็ดี จากการสอบถามญาติที่นำผลิตภัณฑ์ไปออกบูธพบว่ากลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ซื้อกลับไปเพื่อให้ลูกรับประทาน ตนจึงมองเรื่องการ
กระจายผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง โดยโมเดิร์นเทรดและซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นคำตอบที่เหมาะสมกับวัตถุ ประสงค์ ซึ่งต้องการจำหน่ายอาหารดีราคาไม่แพงและสามารถหาซื้อได้ง่าย ลำดับแรกตนจึงนำผลิตภัณฑ์ไปเสนอที่จัสโก้ที่ในอดีตมีประมาณ 10 สาขา (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นแม็กซ์แวลู : MaxValu) ตอบโจทย์กับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น
หลังจากจำหน่ายที่แม็กซ์แวลูได้ 3 ปี ตนจึงขยายช่องทางการจำหน่ายเพิ่มมาที่ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขากรุงเทพฯและปริมณฑล อย่างไรก็ตามด้วยความที่ธุรกิจต้องขึ้น ตนจนต้องการให้ผลิตภัณฑ์มีวางจำหน่ายทั่วประเทศ แต่ยังติดปัญหาเรื่องของอายุผลิตภัณฑ์ที่อยู่ได้เพียง 5 วันเท่านั้น ตนจึงได้ไปขอคำแนะนำจากสถาบันอาหาร และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจนสามารถนำเทคโนโลยีมาปรับประยุกต์ใช้จนสามารถยืดอายุได้ 12 วัน และได้จำหน่ายผ่านท็อปส์มาร์เก็ตทั่วประเทศในที่สุด
วางเป้ารายได้ 40 ล้าน
`ชณากล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ยังได้เข้าไปวางจำหน่ายที่เซเว่นอีเลฟเว่น ประมาณ 4,000 สาขา และมีแผนที่จะขยายให้วางจำหน่ายในเซเว่นฯได้ทั่วประเทศ พร้อมเพิ่มผลิตภัณฑ์อีก 1-2 ประเภท ในระยะต่อไป โดยล่าสุดอยู่ระหว่างการขยายโรงงานใหม่เพื่อรองรับ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จไม่เกินเดือนพฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ จากกลยุทธ์การทำตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาทในปีนี้ โดยเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10% ขณะที่จุดเด่นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ REO’S deli อยู่ที่ความสดใหม่ของอาหาร ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ความสะดวกสบายสำหรับผู้บริโภค อีกทั้งยังมีการปรับปรุงพัฒนาสูตรการทำอย่างสมํ่าเสมอตามคำแนะนำของผู้บริโภค จากการเก็บข้อมูลผลตอบรับของลูกค้า
“กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงหรือมบ้านซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการทำอาหารมากกว่าเรา แต่มีความต้องการให้เราทำผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อตอบโจทย์ จึงมีการแนะนำสูตรนั้นสูตรนี้ให้เราได้ปรับปรุงอยู่ตลอด เช่น บ้านหนึ่งลูกไม่รับประทานหัวหอม แต่ลาซานญ่าของเราจะใส่หัวหอมเป็นชิ้น ก็ได้มีคำแนะนำให้นำหัวหอมไปบดก่อนหลังจากนั้นสูตรลาซานญ่าของเราก็จะทำการบดหัวหอมก่อนที่จะใส่ลงไป เป็นต้น”
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น มองว่าอยู่ที่การวางวิสัยทัศน์ เพราะการทำธุรกิจจะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ให้เห็นชัดก่อนเริ่ม มองเห็นว่าจะทำอะไร มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีกรอบเวลาที่ชัด แล้วก็มุ่งไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ทำให้ไม่เดินออกนอกเส้นทาง
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3521 วันที่ 10-13 พฤศจิกายน 2562