"ชัชชาติ"หนุนกทม.เปิดผับถึงตี4 ยกเครื่องท่องเที่ยวสร้างเศรษฐกิจกรุงเทพ

21 ก.ย. 2565 | 23:12 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ย. 2565 | 07:22 น.

"ชัชชาติ"หนุนเปิดผับถึงตี4 ชี้ขยายเวลาช่วยลดช่องโหว่ หากทำถูกกฎหมาย ให้ขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ ตรวจสอบได้ จ่อหารือตำรวจ อัพเดทโซนพื้นที่กทม. พร้อมเปิดวิสัยทัศน์บูมท่องเที่ยวกรุงเทพฯดึงผู้ประกอบการโรงแรม-ท่องเที่ยวเป็นพาร์เเนอร์ สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจของเมือง

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในการประชุมสมาชิกสมาคมโรงแรมไทย ประจำเดือนกันยายน 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  โดยกล่าวว่า เมืองคือเศรษฐกิจ เมืองคือตลาดแรงงาน ถ้าเกิดเมืองไม่มีงาน เมืองจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งโรงแรมหรือผู้ประกอบการต่าง ๆ เป็นผู้สร้างงานให้กับเมือง

 

\"ชัชชาติ\"หนุนกทม.เปิดผับถึงตี4 ยกเครื่องท่องเที่ยวสร้างเศรษฐกิจกรุงเทพ

เรามองผู้ประกอบการเป็นพาร์ทเนอร์กัน ฉะนั้น เราต้องช่วยอำนวยความสะดวกเขา หากมีปัญหาอะไรเราก็ช่วยหาทางแก้ ถ้าแก้ไม่ได้ เราก็ต้องแจ้งไปทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะโรงแรมและการท่องเที่ยวเป็นหัวใจของเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีสิ่งที่กังวลคือนักท่องเที่ยวถูกเอาเปรียบ ซึ่งเทศกิจเราต้องเข้มข้นขึ้น เราอาจจะต้องเตรียมเทศกิจที่พูดภาษาอังกฤษได้ และมีศูนย์ดูแลนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น


นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามความเห็นกรณีผู้ประกอบการขอเปิดผับถึงตี 4 โดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้ตอบว่า ตนเชื่อว่าการขยายเวลาทำให้ทุกอย่างขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ คือ กฎหมายให้ปิดเร็ว อาจมีบางสถานประกอบการที่แอบจ่ายใต้โต๊ะเพื่อจะเปิดเกินเวลา และไม่ได้รับการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัย ก็จะยิ่งเป็นช่องโหว่มากกว่า 


ดังนั้น หากทำให้ถูกกฎหมาย ให้ขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ ก็จะทำให้ตรวจสอบได้ ส่วนตัวไม่ได้คัดค้านการเปิดถึงตี 4 แต่จะต้องไม่ให้เกิดความเดือดร้อนต่อคนอื่น เช่น ประชาชน หรือธุรกิจโรงแรมใกล้เคียง ส่วนในเรื่องการจัดโซนไม่ใช่หน้าที่ของกทม. แต่อาจจะต้องคุยกับทางตำรวจ เพื่อหารือในการอัปเดตโซนให้มีความเป็นปัจจุบันมากขึ้น และตรงตามอุปสงค์ของพื้นที่นั้น ๆ

สำหรับการบรรยายพิเศษ หัวข้อ “วิสัยทัศน์ท่องเที่ยวและโรงแรมของกรุงเทพฯ” นายชัชชาติ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวถึง 5 หัวข้อ ได้แก่ ความพร้อมหลังโควิด จุดแข็งของกรุงเทพฯ แนวคิดนโยบาย ตัวอย่างโครงการที่ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และสิ่งที่ต้องปรับปรุง โดยมีรายละเอียดดังนี้  

 

  •  ความพร้อมหลังโควิด

 

ปัจจุบันผู้ป่วยรายใหม่อยู่ในจำนวนที่กทม.สามารถบริหารจัดการได้ มีอัตราการครองเตียงเพียง 23.74 % จากจำนวนเตียงทั้งหมดที่กทม.ดูแล มียอดการฉีดวัคซีนเข็ม 2 ครอบคลุมกว่า 100% เข็ม 3 ครอบคลุมกว่า 70% (ข้อมูล ณ วันที่ 14 ก.ย. 65) และที่ผ่านมา กทม.ได้มีการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมในการจัดการทรัพยากร


 เช่น โรงพยาบาล เวชภัณฑ์ การบริหารการปฏิบัติการเพื่อเพิ่มความเร็วของการสนับสนุนทั้งในด้านการฉีดวัคซีนและการส่งต่อผู้ป่วย และการจัดการด้านเทคโนโลยีเพื่อลดภาระงานเพิ่มเติมสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้กทม.มีความพร้อมอย่างมากที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด

\"ชัชชาติ\"หนุนกทม.เปิดผับถึงตี4 ยกเครื่องท่องเที่ยวสร้างเศรษฐกิจกรุงเทพ

 

  • จุดแข็งของกรุงเทพฯ

 

สำหรับค่าครองชีพของกรุงเทพมหานครอยู่ในลำดับ 106 จาก 227 ประเทศ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมการเดินทาง คือมีระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนหลากหลายเส้นทางให้นักท่องเที่ยวได้ใช้ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน 240 ปี แต่อาจจะต้องปรับเรื่อง story telling ให้เยอะขึ้น เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม มีการยอมรับในความหลากหลายและความแตกต่าง มีความพร้อมในด้านห้องพักในโรงแรมกว่า 160,000 ห้อง ด้วยอัตราค่าห้องพักต่อคืน

 

โดยเฉลี่ยประมาณ 2,000 บาท มีศูนย์การประชุมระดับโลกในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งล้วนมีรถไฟฟ้าเข้าถึง ทำให้อนาคตเราเป็นศูนย์กลางของ MICE ได้

 

  • แนวคิดนโยบาย

 

กรุงเทพมหานคร มี 2 ตัวเลขที่เกี่ยวข้อง คือ 1 และ 98 โดยเป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลกอันดับ 1 หลายปีซ้อน แต่เป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 98 จาก 140 เมืองทั่วโลก จากดัชนีชี้วัดเมืองน่าอยู่ หรือ The Global Liveability Index ของ Economist Intelligence Unit หรือ EIU สำหรับดัชนีชี้วัดเมืองน่าอยู่มีด้วยกัน 5 ด้าน 30 ดัชนี


ได้แก่ 1. ความมั่นคง 2. สาธารณสุข 3. วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม 4. การศึกษา และ 5. โครงสร้างพื้นฐาน จึงเกิดเป็นวิสัยทัศน์ “กรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” โดยมี 9 นโยบายหลัก ดังนี้ บริหารจัดการดี ปลอดภัยดี สิ่งแวดล้อมดี สุขภาพดี เดินทางดี โครงสร้างดี เรียนดี สร้างสรรค์ดี และเศรษฐกิจดี จากนั้นได้มีการแตกย่อยออกมาเป็นแผนปฏิบัติการ 216 ข้อ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของเมือง คือ กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองน่าอยู่ 

 

\"ชัชชาติ\"หนุนกทม.เปิดผับถึงตี4 ยกเครื่องท่องเที่ยวสร้างเศรษฐกิจกรุงเทพ

 

50 อันดับแรกของโลก ภายในปี 2570 ทั้งนี้ ประชาชนสามารถอ่านรายละเอียดนโยบายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ทางเว็บไซต์ www.chadchart.com

 

  • ตัวอย่างโครงการที่ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว

 

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีการยกตัวอย่างโครงการต่าง ๆ ที่ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว อาทิ ผลักดันตลาดจตุจักรให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก อำนวยความสะดวกให้ผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์กรุงเทพฯ (Made in Bangkok: MIB) ไปสู่ตลาดระดับโลก ดึงดูดกลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ (MNCs) ผลักดันเทศกาลต่าง ๆ ของ กทม. ไปอยู่ในปฏิทินโลก เช่น ดนตรีในสวน กรุงเทพกลางแปลง Colorful Bangkok เป็นต้น 


การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นในพื้นที่ 50 เขต พัฒนาย่านสร้างสรรค์ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ พัฒนามาตรฐานอาหารริมทางอร่อยปลอดภัย และผู้ว่าฯ เที่ยงคืน ตรวจความปลอดภัยในสถานประกอบการและส่งเสริมศักยภาพให้กับการท่องเที่ยวยามค่ำคืน

 

  • สิ่งที่ต้องปรับปรุง

 

ปัจจุบันมีความไม่เท่าเทียมกันของการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยกิจการที่มีการประกอบธุรกิจเหมือนโรงแรม (มีการคิดค่าห้องเช่าเป็นรายวัน) จะต้องเสียภาษีฯ 0.3% ซึ่งจะคิดภาษีรวมพื้นที่อาคารทั้งหมด ส่วนกิจการที่จดทะเบียนเป็นอาคารที่พักอาศัยรวม (เช่น อะพาร์ตเมนต์) จะต้องเสียภาษีฯ 0.02% 

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องความล่าช้าในการขอใบอนุญาตก่อสร้างโรงแรม ปัจจุบันอาคารที่จะยื่นขออนุญาตก่อสร้างหรือเปลี่ยนแปลงการใช้เป็นโรงแรมในกรุงเทพฯ ต้องทำเรื่องผ่านสำนักการโยธาเท่านั้น (จากเดิมที่อาคารโรงแรมขนาดต่ำกว่า 2,000 ตร.ม. และสูงไม่เกิน 8 ชั้น สามารถขอที่สำนักงานเขตได้) ส่งผลให้เกิดคอขวดและความล่าช้าในการขออนุญาต ณ เดือน กันยายน มีโรงแรมอยู่ระหว่างการพิจารณาทั้งสิ้น 62 โครงการ กทม.จึงต้องมีการปรับปรุงระบบการขอใบอนุญาตให้เป็น One Stop Service เพื่อดำเนินการให้รวดเร็วและดีขึ้น

 

ด้านความขาดแคลนแรงงานในภาคบริการหลังการฟื้นตัวจากโควิด กทม.ทำโรงเรียนฝึกอาชีพ และจะ matching ระหว่าง demand กับ supply ให้ ต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับมือนักท่องเที่ยวที่จะกลับคืนมา

 

กรณีนักท่องเที่ยวถูกหลอกลวงเอารัดเอาเปรียบ เช่น ไกด์หลอกลวง โก่งราคา ต้องทำให้เทศกิจเข้มแข็งขึ้น หารือร่วมกับตำรวจ เพื่อสร้างความไว้ใจให้แก่นักท่องเที่ยว

 

ในส่วนของป้ายท่องเที่ยว ป้ายจราจร ไม่เอื้อต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว จะต้องปรับปรุงให้ใหม่และมีข้อมูลที่อ่านง่าย ซึ่งอยู่ในแผนที่ต้องดำเนินการ 

 

ตอนนี้ก็มีข้อดีคือเรามีการตั้งคณะกรรมการร่วม ภาครัฐ ภาคเอกชน และกทม. แล้ว ซึ่งจะมีการเสนอตั้งธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวเป็นอนุกรรมการฯ ด้วย หัวใจคือต้องคุยกันและเป็นพาร์ทเนอร์กัน โดยหน้าที่กทม.คืออำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชน เพราะเป็นคนสร้างงานและจ่ายภาษีให้กับ กทม. เป็นเหมือนหัวหอกสำคัญของเมืองในการสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ และหวังว่าคงจะได้ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในอนาคต