รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป มั่นใจท่องเที่ยว ไตรมาส 4 ฟื้นตัว
“รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป” ชี้ท่องเที่ยวไตรมาส 4 ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง ลุ้นทัวริสต์เข้าไทยทะลุ 10 ล้านคน ขณะที่ปัจจัยลบยังหวั่นโรคอุบัติใหม่ ค่าเหยียบแผ่นดิน แนะไทยควรอัดแคมเปญการตลาดชิงนักท่องเที่ยวต่างชาติแข่งเพื่อนบ้าน
นายวิทนาถ วรรธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 นี้ปัจจัยที่จะส่งผลต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยว มีทั้งปัจจัยบวกและลบ โดยปัจจัยบวกได้แก่ 1. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะสูงถึง 10 ล้านคนและสร้างรายได้มากกว่า 2 แสนล้านบาท 2. ความสะดวกสบาย ซึ่งจากข้อมูลของบุ๊คกิ๊งดอทคอม พบว่า ประเทศไทยเป็นเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางมาไทย และ การเดินทางมาไทยสะดวกมากกว่าหลายประเทศ
3. อีลิทการ์ด ที่เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติถือครองทรัพย์สินในประเทศไทยได้มากขึ้น รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น วีซ่า ฯลฯ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาอยู่เมืองไทยมากขึ้น 4. เงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆถูกลง จะเป็นแรงสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น 5. การจัดอีเว้นท์ต่างๆ เช่น งานแสดงพลุ (ดอกไม้ไฟ), เคานท์ดาวน์, วิ่งมาราธอน รวมถึงการแข่งขันกีฬาต่างๆ เช่น เทนนิส มวย ฯลฯ ล้วนเป็นแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา
ด้านปัจจัยลบ คือ 1. โรคระบาด ซึ่งยังคาดเดาได้ยากว่าโควิดจะกลายพันธุ์อีกหรือไม่ หรือมีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ 2. ค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวต่าง ๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทย จึงอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงความหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวมากเกินไป
3. ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย รวมถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น อาจจะกระทบต่อกำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศที่จะเดินทาง และ 4. คู่แข่งจากต่างประเทศ ทั้งฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ต่างทำแคมเปญเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้าประเทศ ดังนั้นไทยเองต้องทำแคมเปญด้านการตลาด ขึ้นมาสู้ เพื่อให้แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
อย่างไรก็ดีภาพรวมการท่องเที่ยวในครึ่งปีหลัง พบว่า เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ หลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีนโยบายและโครงการต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้คนไทยได้มาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น รวมถึงนโยบายการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยได้
โดยพบว่าอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มียอดจองสูงกว่า 90% ขณะที่ในวันธรรมดาเฉลี่ยยังต่ำกว่า 50% ทำให้เฉลี่ยโดยรวมมีอัตราการเข้าพักราว 50% ซึ่งยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด โดยคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีอัตราการเข้าพักราว 60-70%
“เรายังรอกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา รวมถึงรัสเซียและยูเครน เพราะจะทำให้พัทยาคึกคักขึ้น ขณะที่ปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดีย เริ่มเข้ามามากขึ้น ซึ่งในอนาคต หากมีการจัดงาน MICE ก็จะเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรป อังกฤษ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เพิ่มมากขึ้น”
ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง จึงอยากนำเสนอให้ภาครัฐขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกันออกไปจนถึงปี 2566 รวมทั้งส่งเสริมเรื่องของ MICE ทั้งกระตุ้นให้องค์กรไทยออกมาท่องเที่ยวและใช้จ่ายเงิน และควรส่งเสริมไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พำนักในไทย (expat) โดยให้สิทธิพิเศษด้านการท่องเที่ยว ส่วนลดโรงแรม ส่วนลดอาหาร เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวและใช้จ่ายเงินเช่นเดียวกับคนไทย
สำหรับแผนลงทุนของโรงแรม บริษัทใช้งบประมาณในการรีโนเวทโรงแรมไปกว่า 200 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ขณะที่เกิดการระบาดของโควิด โดยกว่า 50% เป็นการรีโนเวทสระว่ายน้ำใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ทันสมัย สวยงาม รวมถึงพื้นที่โดยรอบ การปรับปรุงอุปกรณ์ภายในห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะกลับเข้ามา โดยปัจจุบันกลุ่มผู้เข้าพักโรงแรม แบ่งเป็นคนไทย 75% และต่างชาติ 25% เป็นกลุ่มยุโรปและอินเดีย 15%และอีก 10% เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวโซนอาเซียน (AEC) อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ฯลฯ 10%
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,821 วันที่ 25 - 28 กันยายน พ.ศ. 2565