กลุ่มอิตัลไทย ซึ่งมีรายได้รวมจากทุกกลุ่มธุรกิจเฉลี่ยราว 15,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากการดำเนินธุรกิจเครื่องจักรกลหนักและรับเหมางานวิศวกรรมและก่อสร้างครบวงจรแล้ว ยังมีธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมและธุรกิจไลฟ์สไตล์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 40%
ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้จะเป็นเช่นไร รวมถึงเป้าหมายการขยายธุรกิจด้านโรงแรมในปีนี้จะเป็นเช่นไร “ยุทธชัย จรณะจิตต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอิตัลไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป มีคำตอบ
ทิศทางการดำเนินธุรกิจของอิตัลไทย ในปี 2566 นี้ในภาคของการก่อสร้างกำลังจะดีขึ้น แต่ในแง่ของธุรกิจเทรดดิ้ง ที่เรามีบริษัทนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องจักรกลหนักจากยุโรปเข้ามาขายในไทย ตอนนี้ธุรกิจเทรดดิ้งในภาพรวมประสบปัญหาซัพพลายไม่พอ เนื่องจากมีดีมานต์ในอเมริกาเหนือที่สูงมาก และยุโรปเริ่มพื้นตัวดีขึ้นหลังโควิด ทำให้เราต้องบริหารจัดการกับความไม่แน่นอนที่มีค่อนข้างสูง
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจโรงแรม รีเทล ปีนี้ถือว่าดีมาก เนื่องจากเป็นปีที่ดีของการท่องเที่ยวไทย โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลจากยุโรป
ทำให้ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมในปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20-30% เฉพาะในภาคใต้ ปรับราคาเพิ่มได้ 25-30% ทำให้ปีนี้โรงแรมมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องที่ขายได้ในแต่ละช่วง (ADR) มากกว่า 3,000 บาท สูงกว่าปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด-19 ไปแล้ว
ในปีนี้การดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมในนามบริษัทออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป คาดว่าจะมีรายได้รวม 8,800 ล้านบาท เติบโต 60% จากปีก่อนหน้า และมีรายได้สูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำรายได้ไว้ที่ราว 7,000 ล้านบาท
จากภาพรวมของโรงแรมในเครือออนิกซ์ฯที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน 44 แห่งทั้งในและต่างประเทศ รวมมากกว่า 7,000 ห้อง ซึ่งเป็นโรงแรมที่เราเป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 18% และรับบริหาร 82% ภายใต้ 3 แบรนด์โรงแรม
โดยรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากแบรนด์อมารี(เน้นโรงแรมระดับ 5 ดาว) 62.8% แบรนด์ OZO (เน้นโรงแรมระดับ 4 ดาว) 12.1% แบรนด์ Shama (บรหารจัดการบูทีค เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์)16.6% และแบรนด์อื่น ๆ อีก 8.5% และในอนาคตตั้งเป้าขยายสัดส่วนรายได้ของแบรนด์ OZO มากขึ้นเป็น 25% และแบรนด์ Shama เป็น 20%
อีกทั้งออนิกซ์ฯยังมีแผนขยายการรับบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 11 แห่งในช่วง 2-3 ปีนี้ รองรับการฟื้นตัวของกลุ่มนักเดินทางท่องเที่ยวและนักธุรกิจต่างชาติ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจาก8,800 ล้านบาทเป็น 1 หมื่นล้านบาทโดยเป็นการขยายโรงแรมภายใต้แบรนด์อมารี 5 แห่ง เจาะกลุ่มลักชัวรี่ ได้แก่ มัลดีฟส์ (อมารี ราญา มัลดีฟส์) ญี่ปุ่น ลาว ศรีลังกา และไทย (รีแบรนด์เดอะไทด์บางแสนมาเป็นแบรนด์อมารี)
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ Shama 5 แห่ง ได้แก่ Shama Johor Bahru, Shama Medini Malaysia, Shama Hub Haikou, Shama Hub Metro South และ Shama Hub Qiantang และแบรนด์ OZO 1 แห่ง คือ OZO Medini Malaysia
โรงแรมทั้ง 11 แห่งนี้ออนิกซ์จะใช้รูปแบบการดำเนินธุรกิจ โดยเข้าไปบริหาร แต่สำหรับ Amari Raaya Maldives นั้น บริษัทจะเข้าไปร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากอินเดีย การขยายโรงแรมในเครือเพิ่มอีก 11 แห่ง จะทำให้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ออนิกซ์ฯจะมีธุรกิจโรงแรมในเครือรวมเป็น 55 แห่ง ภายใต้เป้าหมายการเป็นแบรนด์บริหารโรงแรม รีสอร์ท เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ และสปาชั้นนำสัญชาติไทย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ในขณะนี้เราจะเน้นขยายการรับบริหารโรงแรมเป็นหลักในการสร้างรายได้ในกับทางออนิกซ์ฯส่วนการลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ของเราเองอย่างที่มีแผนจะลงทุนเพิ่มป่าตอง จ.ภูเก็ต ก็คงต้องชลอไปอีก 2 ปี เนื่องจากช่วงนี้บาทแข็ง และดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ต้นทุนทางด้านการเงินสูง”
สำหรับเป้าหมายที่ออนิกซ์ฯ จะเป็น 1 ในบริษัทที่จะเป็นผู้นำในการบริหารจัดการโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะเน้น 2 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
1.Quality Growth เน้นขยายโรงแรมในพื้นที่ยุทธศาสตร์หลัก ทั้งใน ไทย มาเลเซีย ฮ่องกง และมัลดีฟส์ โดยเฉพาะมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดใหม่เพราะเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง
2. Quality Partnerships ที่มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรระยะยาวเพื่อมาร่วมกันสร้างการเติบโตไปด้วยกัน สอดรับเทรนด์ธุรกิจปัจจุบันที่นักลงทุนต่างกำลังมองหาความร่วมมือกับแบรนด์ที่แข็งแรงเพื่อช่วยส่งเสริมศักยภาพทางธุรกิจให้แก่กัน ซึ่งเราเป็นเจ้าของโรงแรมอยู่แล้วกว่า 11 แห่ง ทำให้ทราบว่าเจ้าของโรงแรมต้องการอะไรในการให้คนเข้ามาบริหารโรงแรมให้นั่นเอง