“บุษกร พรหมมาโนช” ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)สำนักงานซิดนีย์ กล่าวว่า ออสเตรเลียจัดว่าเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ที่มีนัยยะ สำคัญต่อการเติบโตของตลาดระยะใกล้ของไทย ปี 2565 ไทยมีนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย 336,688 คน ขณะที่ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ก.ค. 2566 มีนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเที่ยวไทย 385,100 คน
ตลอดทั้งปีนี้ททท. วางเป้าหมายไว้ 522,000 คน แต่พบว่าช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ที่เกินกว่าปี 2565 ทั้งปีไปแล้ว จึงมั่นใจว่าปีนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเกินเป้าที่วางไว้ และทั้งปีนี้น่าจะแตะ 654,422 คน หรือฟื้นตัวจากก่อนโควิด (ปี 2562) อยู่ที่ราว 84% ซึ่งก่อนโควิดออสเตรเลียเที่ยวไทย 771,798 คน สร้างรายได้ 55,403 ล้านบาท วันพักเฉลี่ย 13.29 วัน
ปัจจุบันแม้การท่องเที่ยวของไทยยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจาก สายการบินกลับมาบินเส้นทางจากออสเตรเลียเข้าไทย คิดเป็น 80% ก่อนโควิด แต่ก็มีการเติบโตของตลาดที่ดี ททท.จึงทำตลาดเชิงรุกต่อเนื่อง
โดยก่อนหน้านี้ได้นำคณะสื่อมวลชน influencers bloggers จากออสเตรเลีย ไปสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวไทย ใน 3 จุดหมายปลายทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงราย และกาญจนบุรี-สมุทรสงคราม ล่าสุดจัดงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ใจกลางซิดนีย์ วันที่ 19-20 ส.ค. 2566 โปรโมท Soft Power ไทย กระตุ้นท่องเที่ยว
สำหรับเที่ยวบินตรงเข้าไทยจากข้อมูล (ณ เดือน ก.ค. 2566) พบว่าในเดือนส.ค. 2566 มี 4 สายการบิน ได้แก่ การบินไทย, เจ็ทสตาร์ ออสเตรเลีย, แควนตัส และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ รวม 41 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รวมที่นั่งบนเครื่องบินกว่า 13,679 ที่นั่งต่อสัปดาห์
ขณะที่ตารางบินฤดูร้อน (วันที่ 26 มี.ค.-28 ต.ค. 2566) จากระบบ OAG ณ วันที่ 28 เม.ย. 2566 พบว่าเที่ยวบินจากออสเตรเลียเข้าไทย อยู่ที่ราว 45 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยการบินไทย บินจากซิดนีย์ และเมลเบิร์นเข้ากรุงเทพฯ, เจ็ทสตาร์ ออสเตรเลีย บินเมลเบิร์น-ภูเก็ต, ซิดนีย์-ภูเก็ต และเมลเบิร์น-กรุงเทพฯ, แควนตัส บินซิดนีย์-กรุงเทพฯ และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เส้นทางเมลเบิร์น และซิดนีย์เข้ากรุงเทพ
อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนเที่ยวบินตรงเข้าไทยที่ยังไม่กลับมาเท่าเดิม ขณะที่เส้นทางที่เคยบินก็ถูกยกเลิกไป เช่นการบินไทยยกเลิกบินไปเพิร์ธไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ยกเลิกบินไปบริสเบน ซึ่งเส้นทางบินเหล่านี้ก็ยังไม่กลับมา ทำให้ททท.ต้องมองการขยายช่องทางการเดินทางเข้าไทยโดยไม่จำกัดแค่เที่ยวบินตรงเท่านั้น ททท.จึงร่วมเป็น พันธมิตรทางธุรกิจกับสิงคโปร์ แอร์ไลน์ โปรโมทร่วมกัน
เนื่องจากสิงคโปร์แอร์ไลน์มีเส้นทางบินที่แทบจะออกจากทุกเมืองหลักของออสเตรเลีย โดยนักท่องเที่ยวจะไปต่อเครื่องบินที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพ ภูเก็ต กระบี่ ซึ่งสิงคโปร์ แอร์ไลน์ การันตรีว่าจะสามารถขายตั๋วได้ 2 หมื่นใบต่อ 1 เดือน รวมถึงเรายังทำการตลาดร่วมกับมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ซึ่งนักท่องเที่ยวก็เข้าไทยได้โดยไปต่อเครื่องบินที่กัวลาลัมเปอร์ และร่วมกับแควนตัส ฮอลิเดย์ นำเสนอทัวร์เที่ยวไทย
พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย หันมาสนใจเดินทางระยะใกล้มากขึ้น โดยคนออสเตรเลีย จะเดินทางไปเที่ยวนิวซีแลนด์เป็นอันดับ 1 ขณะที่ไปเที่ยวบาหลี อยู่ในอันดับ 3-4 มาเที่ยวไทยอยู่อันดับ 5-6 ซึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพ ภูเก็ต เกาะสมุย พัทยา และกระบี่
ทั้งนี้การที่คนออสเตรเลียไปบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย มากกว่าไทย เพราะใช้เวลาบิน 5-6 ชั่วโมง แต่มาไทยบิน 9 ชั่วโมง ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินก็จะถูกกว่า และส่วนใหญ่ชอบไปเล่นเซิร์ฟที่บาหลี เพราะคลื่นแรงคล้ายๆ กับ Bondi beach ในออสเตรเลียที่คนชอบมาเล่นเซิร์ฟ
ดังนั้นททท.ได้หารือกับสมาคมเซิร์ฟที่จ.พังงา ในการโปรโมทให้มาเล่นเซิร์ฟที่เขาหลัก รวมถึงโปรโมทเพื่อเจาะกลุ่มการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ หรือ Responsible Tourism เพราะจากผลการวิจัยพบว่าเทรนด์การท่องเที่ยวที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นพฤติกรรมที่เป็นเทรนด์การท่องเที่ยวของตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ททท.จึงได้นำเสนอเส้นทางโลว์คาร์บอน รวมถึงข้อมูลของโรงแรมต่างๆ ที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยวชุมชน แหล่งอนุรักษ์ช้าง หรือแม้แต่อาหาร อย่าง BCG Farm to table เป็นต้น
โดยนำเสนอต่อบริษัททัวร์ที่ทำทัวร์ในลักษณะนี้ และนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ และชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวแบบมีความหมาย รวมถึงการเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่ม Millennials กลุ่ม Gen Y กลุ่ม Digital nomad แม้ไทยจะยังไม่มีนโยบายกระตุ้นตลาดนี้โดยเฉพาะเหมือนบาหลีที่มีวีซ่าสำหรับกลุ่มนี้ แต่ไทยก็มีจุดขายเรื่องของการมีพื้นที่ Co-working Space การมีอินเตอร์เน็ตที่ดี ก็ทำให้กลุ่มนี้ชอบมาพักที่กรุงเทพฯและเกาะพะงัน
รวมทั้งเจาะกลุ่ม Family และ Health-conscious นอกจากนี้ด้วยความที่ประเทศออสเตรเลีย มีคนหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะอินเดีย ที่มีสัญชาติออสเตรเลีย ททท.ก็เน้นเจาะตลาดนี้ให้เข้ามาแต่งงานในไทยขายไปได้แล้วกว่า 30 คู่ แต่ละงานก็จะมีแขกบินไปร่วมงานหลัก 100 คน รวมถึงการเจาะกลุ่ม Family และ Health-conscious
อีกทั้งจากการสำรวจตลาดโอเชียเนีย (ชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์) Annual Travel Trend Survey โดย Booking.com พบว่านักท่องเที่ยวนิยมเลือกเดินทางพร้อมครอบครัวเป็นอันดับแรก โดยเดินทางพร้อมคู่ครอง 53% รองลงมา คือ เดินทางพร้อมครอบครัวและลูก 27% ซึ่งสอดคล้องกับการเดินทางเข้าไทยที่สูงสุดในช่วงปิดภาคเรียน ได้แก่ ช่วงปิดภาคเรียน 4 ช่วง คือ 1. ช่วงเดือนมกราคม 2. ช่วงเทศกาลอิสเตอร์เดือนเมษายน 3. ช่วงเดือนกรกฎาคม และ เดือนตุลาคม 4. ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญปลายปี
ส่วนอุปสรรคสำหรับการทำตลาดนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย หลังโควิด ที่ยังต้องจับตามองคือมีเรื่องของผลกระทบของการที่ธนาคารกลางออสเตรเลียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและภาวะเงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพสูงขึ้น โดยนักท่องเที่ยวออสเตรเลียคำนึงถึงปัจจัยทางด้านราคาและความคุ้มค่าเงิน อาจส่งผลต่อการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยที่เราเฝ้าระวัง และเน้นการทำตลาดให้ตรงกลับกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญนั่นเอง