“เศรษฐา” บุกจีน ททท.ของบกลาง 600 ล้าน บูสต์ไฮซีซั่น ปูพรมจัด 4 บิ๊กอีเว้นต์

13 ต.ค. 2566 | 04:30 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ต.ค. 2566 | 05:12 น.

“เศรษฐา”บุกจีน ททท.ผนึก 8 พันธมิตรรายใหญ่จีน ร่วมลงนามกระตุ้นจีนเที่ยวไทย ปูพรมจัด 4 บิ๊กอีเว้นต์บูมท่องเที่ยวปลายปี ด้านรมว.ท่องเที่ยว ชงของบกลาง 600 ล้านบูสต์ท่องเที่ยวรับไฮซีซั่นนี้ เสนอให้ ดิจิทัล วอลเล็ต สามารถนำมาใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวได้ด้วย

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังมั่นใจว่าในปีนี้ไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ 25 ล้านคนแน่นอน  แม้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะเกิดเหตุการณ์กราดยิง ที่สยามพารากอน และสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสก็ตาม โดยททท.จะเน้นกระตุ้นตลาดอย่างเต็มที่ในช่วงไฮซีซันนี้

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์

ในส่วนของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักด้านการท่องเที่ยวของไทย ททท.จะมีการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ร่วมกับ 8 พันธมิตรชั้นนำของจีน ได้แก่ 1. Trip.com 2. Ant International (Alipay) 3. Meituan 4. Huawei 5. Spring Airlines 6. Xinhua Net  7. iQIYI และ 8. JegoTrip ในวันที่ 19 ต.ค.นี้ ในกรุงปักกิ่ง

โดยจะมีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งมีกำหนดการไปร่วมประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3 วันที่ 17-18 ต.ค.นี้ ณ กรุงปักกิ่ง และการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 19 ต.ค.นี้ที่เมืองจีนอยู่แล้ว เดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย

ทั้งนี้พันธมิตรเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในจีน อาทิ สายการบิน บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) รวมถึงผู้ให้บริการ Payment Gateway ของจีน เพื่อทำจ้อยท์ โปรโมชั่น และโปรโมทการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเที่ยวไทย และจะใช้โอกาสนี้ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงบวก และส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในตลาดจีน รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย

ททท.ยังคงตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนปี 2566 ไว้ไม่น้อยกว่า 4 ล้านคน  เนื่องจากเหตุกราดยิง ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศและอารมณ์ (Sentiment) ของชาวจีนโดยเฉพาะในโลกโซเชียลมีเดีย 1-3 วันหลังเกิดเหตุซึ่งมีผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น

 

“เศรษฐา” บุกจีน ททท.ของบกลาง 600 ล้าน บูสต์ไฮซีซั่น ปูพรมจัด 4 บิ๊กอีเว้นต์

 

อีกทั้งททท.ก็เร่งดำเนินการฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ดึง Soft Power และความเป็นมิตรของคนไทย ผ่าน Thais Always Care กระตุ้นตลาดจีน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายความสนใจเฉพาะ (Sub-Culture) เช่น กลุ่ม “ซีรีส์แนวบอยเลิฟ” กลุ่มแฟนคลับศิลปินที่มาจัดคอนเสิร์ตในไทย เช่นล่าสุด “เจย์ โจว” (Jay Chou) ได้เพิ่มรอบจัดคอนเสิร์ตในไทยช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เป็น 2 รอบ ความจุรอบละประมาณ 50,000 ที่นั่ง เป็นต้น

นอกจากนี้ททท.อยู่ระหว่างเสนอแผนบูสเตอร์ช็อตกระตุ้นท่องเที่ยว แก่รัฐบาล เพื่อขอใช้งบกลางราว 600 ล้านบาท กระตุ้นท่องเที่ยวไฮซีซั่นนี้ ซึ่งหลักๆจะเป็นการทำจ้อยท์ โปรโมชั่น ร่วมกับสายการบิน การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว แคมเปญกระตุ้นตลาด

การจัดกิจกรรมหรืออีเว้นต์ให้มีสเกลที่ใหญ่ขึ้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ที่จะเน้นใน 4 อีเว้นท์หลักช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่ เทศกาลลอยกระทง ที่ ททท.เป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ที่คลองผดุงกรุงเกษม งานวิจิตรเจ้าพระยา แสดงแสงสีเสียง ตั้งแต่วันที่ 1-31 ธ.ค. 2566 งานอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบ็งค็อก ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ และการจัดงานเคาน์ดาวน์ ที่ททท.จะจัดขึ้นที่วัดอรุณฯ และร่วมกับเอกชนจัดกิจกรรมอย่างยิ่งใหญ่

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า การกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันนี้ นอกจากรัฐบาลจะมีมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) หรือวีซ่าฟรี ให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน เป็นระยะเวลา 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566-29 ก.พ. 2567 แล้ว

ในเร็วๆนี้ก็จะมีการออกมาตรการเรื่องของวีซ่าเพิ่มเติมในเฟส 2 โดยอาจจะเป็นวีซ่าฟรี หรือ การขยายวันพำนักในไทย สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในตลาดเป้าหมาย ซึ่งอยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงมหาดไทย เพื่อหาข้อสรุปก่อนจะประกาศต่อไป

สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล

สำหรับมาตรการวีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีน จะมีส่วนช่วยทำให้นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวไทย จากที่ในขณะนี้ (วันที่ 1 ม.ค. – 8 ต.ค. 2566) ไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้ว 2.58 ล้านคน แม้จะยังห่างไกลจากก่อนเกิดโควิด-19 เมื่อปี 2562 ที่มีจำนวนมากถึง 11 ล้านคนก็ตาม แต่จีนก็ยังเป็นตลาดหลักของไทย

ส่วนกรณีเหตุกราดยิงที่สยามพารากอน รัฐบาลนำโดยนายกเศรษฐา รวมถึงภาคเอกชน ก็เสียใจและเข้าไปเยียวยา ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทันที ส่วนการชลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงไปจากสัปดาห์ก่อนหน้า ยังต้องประเมินสถานการณ์ก่อน เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วง golden week ที่มีคนจีนเดินทางเข้ามาเที่ยวมากกว่าปกติอยู่แล้ว

นอกจากนี้เพื่อเป็นการบูสต์ท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ต่อเนื่องถึงสงกรานต์ปีหน้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีแผนจะดำเนินการใน 4 โครงการ โดยจะขอใช้งบกลางเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งไทยเที่ยวไทยและต่างชาติเที่ยวไทย วงเงิน 600 ล้านบาท เพราะการจัดสรรงบประมาณปี 2567 ยังต้องใช้เวลา

ปัจจุบันการใช้เงินงบประมาณภายใต้กรอบงบประมาณปี 2566 ไปพรางก่อน จะยังไม่สามารถใช้งบเพื่อเป็นบูสเตอร์ช็อตท่องเที่ยวได้ ทั้งๆที่กำลังจะเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นแล้ว กระทรวงท่องเที่ยวฯได้ส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว เพื่อเตรียมจะรอนำเสนอเข้าครม.พิจารณาต่อไป

ทั้งนี้แผนบูสต์เตอร์ช็อต วงเงิน 600 ล้านบาท  จะเป็นการใช้งบเพื่อกระตุ้นในประเทศและการจัดกิจกรรมในประเทศ วงเงิน 500 ล้านบาท และกระตุ้นตลาดต่างประเทศ วงเงิน 100 ล้านบาท ประกอบด้วย 4 โครงการ ได้แก่

1. Amazing Thailand Passport Privileges  งบ 150 ล้านบาท สร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ของไทยเป็นจุดมุ่งหมายของการช้อปปิ้งเพิ่มขึ้นและขยายลูกค้าใหม่จากต่างประเทศ

2. Thailand Festival Experience  5 ภาค งบ 200 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านบาท  

3. Marketing & PR Forced-move  งบ 150 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับจากตลาดทั่วโลกทุกทวีป 30,000 ล้านบาท

4. The Link Local to Global งบ 100 ล้านบาท ก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 560 ล้านบาท

นอกจากนี้กระทรวงท่องเที่ยวฯยังจะเสนอให้โครงการดิจิทัล วอลเล็ต พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะนำเงินส่วนหนึ่งจาก 10,000 บาท ให้ประชาชนนำมาใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวได้ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในเมืองรอง เช่น อาจจะกัน 3,000 บาทสำหรับการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวให้เกิดการเดินทางข้ามจังหวัด ส่วนอีก 7,000 บาทก็จะเป็นการใช้จ่ายสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค ภายในรัศมีที่กำหนด เป็นต้น

รวมไปถึงการผลักดันเรื่องของการขยายเวลาปิดสถานบันเทิง ในพื้นที่นำร่องบางโซน ในกรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ ที่จะต้องหารือกับกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าพื้นที่ไหนจะขยายเวลาปิดออกไปจากปัจจุบัน หรือพื้นที่ไหนจะเปิด 24 ชั่วโมง ซึ่งต้องพิจารณาเรื่องของการดูแลรักษาความปลอดภัยด้วย