นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่าปัจจุบัน AWC มีธุรกิจอาคารสำนักงาน รวม 4 แห่ง ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ อาคาร 208 วิทยุ และอาคารอินเตอร์ลิงก์ รวมพื้นที่ขายทั้งหมด 270,000 ตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นเจ้าของอาคาสำนักงานที่ใหญ่สุดในประเทศไทย
AWC มีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจอาคารสำนักงานที่มีอยู่ให้เป็นอาคารสำนักงานรูปแบบใหม่(ไลฟ์สไตล์ออฟฟิศ) โดยจะเริ่มจากอาคารเอ็มไพร์ ซึ่งจะใช้งบลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท ในยกระดับอุตสาหกรรมอาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ไลฟ์สไตล์ออฟฟิศ ที่อาคาร “เอ็มไพร์” สู่ศูนย์กลางซีบีดีระดับโลก เสริมประเทศไทยเป็น Workplace Destination
โดยได้พัฒนาอาคาร “เอ็มไพร์”เป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกที่นำเสนอรูปแบบการทำงานอันเป็นเอกลักษณ์รองรับเทรนด์อนาคตสำหรับองค์กรระดับโลก ด้วยการเปิดให้บริการพื้นที่เพื่อไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เน้นเปิดประสบการณ์ “Co-Living Collective: Empower Future”
ตั้งแต่ล็อบบี้เลานจ์ Co-Living Space ทั้งชั้น G, M, 10, 11, 53 ต่อเนื่องไปจนถึงรูฟทอปชั้น 55-60 ผสานประสบการณ์ไลฟ์สไตล์บนพื้นที่ฟรีสเปชกว่า 3,200 ตร.ม. และพื้นที่ไลฟ์สไตล์อื่นๆ อีกกว่า 36,000 ตร.ม. เชื่อมการใช้ชีวิตดิจิตอลต่อเนื่องอย่างครบครัน
ทั้งนี้เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ให้เป็นไลฟ์สไตล์ออฟฟิศสมัยใหม่ ที่ต้องการการทำงานแบบบูรณาการการทำงานและการใช้ชีวิต (Work-Life Integration) ยุคใหม่
ล่าสุดได้เปิดตัว “The Empire Residence” บนชั้น 53 ของอาคาร “เอ็มไพร์” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายให้พนักงานของผู้เช่าทุกบริษัทในอาคาร ให้มาใช้บริการพื้นที่ Co-Living Space ที่ไม่เหมือนที่ไหนในอุตสาหกรรมอาคารสำนักงานของโลกได้ฟรี โดยลงทุนไปกว่า 1พันล้านบาท
โดยการให้บริการบนชั้น 53 จะเป็นการบูรณาการองค์ประกอบของการใช้ชีวิต รูปแบบใหม่รวมประสบการณ์บ้าน โรงแรม ออฟฟิศ และร้านต่างๆ “Live, Play, Share, Work” มาไว้ในที่เดียว อาทิ ห้องคาราโอเกะ ห้องเกมส์ Eatery Bar” พื้นที่รับประทานอาหารพร้อมห้องครัวส่วนกลาง ห้องประชุม มินิยิมส์ คิดส์รูม Pet Room ที่ในขณะนี้ทยอยเปิดให้บริการแล้ว และคาดว่าในช่วงไตรมาส 1ปีหน้า จะเปิดให้บริการครบทั้งหมดและจะบริการตลอด 24 ชั่วโมง
รวมถึงการเปิดให้บริการ “Cafe Pittore” คาเฟ่แบบล็อบบี้เลานจ์ชั้น G ที่เปิดให้คนข้างนอกเข้ามาใช้บริการได้
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างพัฒนา EA Rooftop at The Empire” บนรูฟทอปชั้น 55-60 ของอาคาร ที่จะมีการแยกโซนเข้าพื้นที่ เพื่อเปิดให้ลูกค้าทั่วไป สามารถเข้ามาใช้บริการได้ ซึ่งประกอบไปด้วย
รวมถึงยังเป็นห้องอาหาร Nobu แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าและพนักงานภายในอาคาร “เอ็มไพร์” ได้อย่างครบวงจร ภายในไตรมาส 3 ปี 2567
พร้อมยังเตรียมงบลงอีกส่วนหนึ่งในการเตรียมรีโนเวทพื้นที่ชั้น 10 และ 11 เป็นฟู๊ดเลานจ์และห้องประชุม ที่จะเปิดให้บริการไตรมาส 3 ปีหน้า และ The cocoon Wellness Bar บนชั้น 52 ที่จะเปิดให้บริการไตรมาส 4 ปีหน้า
การพัฒนาพื้นที่ที่เกิดขึ้นรวมพื้นที่เพื่อไลฟ์สไตล์กว่า 39,000 ตร.ม. เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอาคารสำนักงาน รองรับเทรนด์การทำงานในอนาคตสำหรับบริษัทชั้นนำ พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นจุดหมายขององค์กรและพนักงานจากทั่วโลก
พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์จาก “AWC Infinite Lifestyle” (AWI) และแอปพลิเคชัน “Pikul” ซึ่งเชื่อมโยงผู้เช่าและนักเดินทางเข้ากับเครือข่ายทั้งหมดของกลุ่มโรงแรมและหรือห้องอาหารในเครือ AWC ที่ลูกค้าจะสามารถ เพลิดเพลินไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครันทั้ง “Office-Home-Hotel-Retail” ได้อย่างไร้รอยต่อในสัมผัสเดียว
ไม่ว่าจะเป็น การเข้าอาคาร การจองห้องประชุม และข้อเสนอสุดพิเศษต่างๆ และอาคารยังเตรียมเพิ่มบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย อาทิ บริการนำรถไปจอด (Valet Parking) เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ (Drop-off Concierge) บริการ Room Service และแผนกต้อนรับลูกค้า (Guest Reception)
ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนในอาคารสามารถใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวและมีความสุข และมั่นใจว่าบริการเหล่านี้จะตอบโจทย์ในการดึงบริษัทข้ามชาติเข้ามาเปิดสำนักงานหรือเช่าพื้นที่ออฟฟิศได้มากขึ้น
รวมไปถึงAWC ยังมีแผนการพัฒนาพื้นที่ฟู้ดเลาจญ์ที่อาคารอินเตอร์ลิงก์ และ แอทธินี ทาวเวอร์ด้วย เพื่อรองรับอาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ไลฟ์สไตล์ออฟฟิศ ซึ่งเป็นเทรนด์ความต้องการของโลกยุคหลังโควิด-19
นางวัลลภากล่าวว่า ปัจจุบันตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า เทรนด์ตลาดไม่เติบโตเหมือนเมื่อก่อน หลังจากมีโควิด คนทำงานที่บ้าน ทำให้จึงต้องปรับปรุงพื้นที่ให้เช่าเหมือนอยู่อาศัยในบ้านมากขึ้น ทั้งยังต้องรอนโยบายจากรัฐบาลมาโปรโมทให้ประเทศไทย สามารถแข่งขันกับสิงคโปร์ ฮ่องกง ในการดึงบริษัทข้ามชาติมาเปิดสำนักงานในไทยมากขึ้น เช่น ให้ฟรีวีซ่าคนทำงาน และเพิ่มสิทธิด้านภาษีต่างๆ จากปัจจุบันที่ผู้พัฒนาโครงการต้องมาดึงดีมานด์ด้วยกันเอง