รมว.เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เปิดใจว่า ผมภูมิใจที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ผมมารับผิดชอบดูแลงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็นกระทรวงที่สำคัญในการหารายได้เข้าประเทศ และเป็นหนึ่งในกระทรวงที่มีส่วนสำคัญตามนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ภายใต้เป้าหมายการสร้างรายได้ท่องเที่ยวในปี 2567 นี้ อยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท โดยผมจะสานต่อนโยบาย “IGNITE THAILAND” ของนายกรัฐมนตรี ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว (Tourism Hub) ในภูมิภาคนี้
ผมมีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามนโยบายที่ยิ่งใหญ่นี้ให้สำเร็จ จะสานต่อนโยบาย Ignite Tourism Thailand ตามที่ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้แถลงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยจะทำเต็มความสามารถ และจะต้องหารือกับผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อร่วมกันส่งเสริมต่อยอดรายได้การท่องเที่ยวให้ถึงเป้าหมาย โดยจะวิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เพราะรัฐบาลจะประเมินผลงานกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ทุก 3 เดือน ทำให้ผมก็ต้องตรวจผลงานภายในกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เข้มข้นทุกเดือน มั่นใจว่าข้าราชการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตั้งใจทำงานอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น ไม่มีคนแตกแถว สร้างพลัง ขณะเดียวกันก็ต้องมีตัวชี้วัดการทำงานด้วย โดยใน 3 เรื่องแรก จะต้องเห็นผลงานว่ามีนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มขึ้น มีรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น และต้องประเมินผลงานอีกครั้งเมื่อครบ 6 เดือนด้วย
ทั้งนี้การจะทำให้การ ท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าหมายก็ต้องได้รับความร่วมมือจาก ภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งผมก็จะมีการรับฟังจากทุกฝ่าย ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใดหลังเข้ารับตำแหน่งนี้ เพราะถือเป็นโอกาสดีที่จะได้โชว์ผลงาน อีกทั้งผมยังสามารถอาศัยความได้เปรียบจากเคยดำรงตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทยมาก่อน ก็จะขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้บริหารท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ มาช่วยกันติดตามและสนับสนุนการทำงาน ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ก็จะเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ผนึกกันให้แน่นขึ้น ผมพร้อมจะเติมเต็มทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ได้แสดงฝีมือ นี่คือพลังที่ยิ่งใหญ่
เป้าหมายในการทำงานของผม ที่ต้องรับผิดชอบใน 2 เรื่อง คือ เรื่องของการท่องเที่ยว และเรื่องของกีฬา ก็จะเน้นการบริหารงานในทั้ง 2 เรื่อง ให้เสริมซึ่งกันและกัน ต่อยอดในการสร้างรายได้ท่องเที่ยวไปสู่เป้าหมาย 3.5 ล้านล้านบาท ซึ่งการท่องเที่ยว มีภารกิจในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหลักอยู่แล้ว แต่ในด้านกีฬา นอกจากกีฬาจะสร้างชาติ ทำให้เกิดความรู้สึกรักสามัคคีแล้ว ก็จัดว่าเป็น Soft Power สำคัญ ที่นำมาต่อ ยอดด้านการท่องเที่ยวได้ด้วย
สำหรับภารกิจเร่งด่วนที่จะดำเนินการในเรื่องของการท่องเที่ยว คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงนี้ที่เป็นโลว์ซีซัน หลังจากที่เราผ่านพ้นช่วงไฮซีซันไปแล้วตั้งแต่สิ้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งการกระตุ้นตลาดต่างชาติมาเที่ยวไทย และไทยเที่ยวไทย โดยจะหารือกับทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯหาแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น ระหว่างเดือนพ.ค.-ก.ย.นี้ เช่น การดึงนักท่องเที่ยวจีน เข้ามาเที่ยวไทยช่วงวันหยุดยาวของจีน หรือ Golden Week วันที่ 1-7 ต.ค.นี้ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวชาวจีนให้เดินทางเข้ามามากขึ้น
การคิดแคมเปญ หรืออีเวนต์ใหม่ๆ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพำนักใน ไทยนานขึ้น และมีค่าใช้จ่ายต่อหัวมากขึ้น การส่งเสริมให้เกิดเฟสติวัลในการจูงใจให้เกิดการท่องเที่ยว ซึ่งช่วงโลว์ซีซั่นเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น เราจะต้องมีการส่งเสริมการตลาดเชิงรุกไปยังกลุ่มประเทศที่ได้รับวีซ่าฟรี โดยให้มีการทำแพ็กเกจ ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับกิจกรรมอื่นๆ เช่น การตรวจสุขภาพ งานแต่งงาน การท่องเที่ยวของกลุ่มหลากหลายทางเพศ กลุ่มความเชื่อมูเตลู เป็นต้น
รวมถึงการวางแผนการ กระตุ้นท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นปลายปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวล่วงหน้าได้ตั้งแต่ตอนนี้ การกระตุ้นให้คนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศ และในยุคของผมจะเน้นการผลักดันเมืองรองให้เป็นเมืองน่าเที่ยว เน้นพัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์ ในชุมชน เพื่อเปิดพื้นที่ต่างๆ หาแหล่งท่องเที่ยว ใหม่ให้มีการท่องเที่ยวมากขึ้น สร้างรายได้มากขึ้น ทำให้เมืองไทยเป็นโฮมสเตย์ของโลก และเป็นการใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยว อย่างเหมาะสม
ขณะเดียวกันก็จะเน้นการนำกีฬามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ มวยไทย การสร้างศูนย์กลางกีฬา (Sport Hub) ในระดับภูมิภาค เพื่อส่งเสริมเรื่องสปอร์ต ทัวริสซึม การสร้างเวิล์ดอีเว้นท์ด้านกีฬา ให้เข้ามาจัดในไทย อาทิ งานกอล์ฟ วิ่งมาราธอน ไตรกีฬา เรือใบ อี-สปอร์ต หรือ แม้ล่าสุดอย่างการจัดประชุม ฟีฟ่า คองเกรส ครั้งที่ 74 (FIFA CONGRESS BANGKOK, 2024) เมื่อวันที่
13-17 พ.ค.67 ที่ผ่านมา ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ ก็มีผู้นำฟุตบอลจาก 211 ประเทศทั่วโลก มีนักกีฬาฟุตบอลมาร่วมกิจกรรมต่างๆ มีผู้คนเดินทางเข้าไทย กว่า 3,000 คน นอกจากจะเกิดการใช้จ่ายในไทยแล้ว ยังช่วยสนับสนุนทำให้เรามีสิทธิได้รับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับโลกในหลายเรื่องตามมาได้ด้วย
ทั้งหมดล้วนเป็นการทิศทางในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้น ภายใต้รมว.ท่องเที่ยวคนใหม่ที่เกิดขึ้น