หนังสือพิมพ์สเตรทส์ไทม์ส รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของนายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่องว่า สิงคโปร์จะเริ่มก่อสร้างอาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่แห่งใหม่ที่สนามบินชางงี (Changi) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพการรองรับผู้โดยสารประจำปีของศูนย์กลางการบินแห่งนี้ขึ้นอีก 50 ล้านคน
โดยสิงคโปร์จะเริ่มก่อสร้างอาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่แห่งใหม่ ซึ่งเป็นอาคารผู้โดยสารหลังที่ 5 (T5) ในสนามบินชางงี ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของศูนย์กลางการบินแห่งนี้ให้ได้เพิ่มขึ้นปีละ 50 ล้านคน จากปัจจุบันที่รองรับได้ปีละ 90 ล้านคน
ปัจจุบันสนามบินชางงีมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้ 90 ล้านคนต่อปี แต่การสร้างอาคารผู้โดยสาร Terminal 5 แห่งใหม่ซึ่งจะเปิดให้บริการในช่วงกลางทศวรรษ 2030 จะเพิ่มการรองรับผู้โดยสารเป็น 140 ล้านคน และจะช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ มากกว่า 200 เมือง จากเกือบ 150 เมืองในปัจจุบัน
ลอว์เรนซ์ หว่อง ยังได้กล่าวว่าสิงคโปร์จะต้องเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมการบิน ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก
ทั้งกำลังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อขยายข้อตกลงบริการการบินของสิงคโปร์ให้กว้างขึ้น เพื่อให้สายการบินต่างๆ สามารถเพิ่มเที่ยวบินกับประเทศอื่นๆ ได้ โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้ลงนามข้อตกลงใหม่กับ "ยูเครน" และขยายความร่วมมือกับ "ฟิลิปปินส์" และ "ซาอุดีอาระเบีย"
ก่อนหน้าการระบาดของโควิดในปี 2562 สนามบินชางงีมีการเชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ มากถึง 175 แห่งทั่วโลกด้วยสายการบิน 87 ราย แต่สถานการณ์ช่วงโควิดทำให้ลดลงเหลือเพียง 60 แห่ง ก่อนจะทยอยฟื้นตัวหลังจากนั้นจนอยู่ที่ประมาณ 140 แห่ง ณ เดือนมี.ค. 2566
รัฐบาลสิงคโปร์ตั้งเป้าว่าในช่วงกลางทศวรรษ 2573 เมื่ออาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่แห่งใหม่นี้เปิดให้บริการ สิงคโปร์จะสามารถเชื่อมต่อทางอากาศกับเมืองต่าง ๆ ได้มากกว่า 200 เมืองทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีการเชื่อมต่อเกือบ 150 เมือง