การเติบโตของ GPD ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ แม้ไทยจะยังเติบโตต่ำกว่าประเทศต่างๆในอาเซียน ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย แต่ด้วยการท่องเที่ยวไทยที่ยังเติบโตกว่า 20% การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ต่อเรื่องนี้นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ ”ว่า จากกรณีที่เศรษฐกิจไทยยังโต้รั้งท้ายในอาเซียน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ภาคเอกชนท่องเที่ยว เสนอว่ารัฐบาลควรจะออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก
โดยเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการ “คนละครึ่ง” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” ยังมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดภาระแก่ประชาชน จูงใจให้คนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ควรจะเปิดกว้าง ผลักดันนโยบายการตลาดภาคท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง มีงบประมาณสนับสนุนตลอดทั้งปี โดยใช้งบจากสัดส่วนของรายได้จากการท่องเที่ยวมาเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน จะทำให้มีแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น 1% จากรายได้ 3 ล้านล้านบาท เท่ากับ3 หมื่นล้านบาท มาแบ่งสัดส่วนในภาคการท่องเที่ยวตามความสำคัญ และน้ำหนักตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลวางไว้
อย่างไรก็ตามการที่เศรษฐกิจไทยยังรั้งท้ายอาเซียน เกิดจากโครงสร้างของเศรษฐกิจที่มีแต่อุตสาหกรรมล้าหลัง และผลผลิตของประชากรที่มีแรงงานลดลง รวมถึงการปรับตัวสู่ เศรษฐกิจดิจิตอลยังมีความเชื่องช้า ทำให้ความน่าสนใจในการดึงงบลงทุนจากต่างชาติ น้อยกว่าเพื่อนบ้านในอาเซียน
ดังนั้นรัฐบาล ควรต้องออกมาตรการใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1. ดึงประชากรจากเพื่อนบ้านมาเติมในส่วนแรงงานที่จำเป็นแต่ขาดแคลน 2. มาตรการส่งเสริมเอกชน ทำ digital transformation ได้เร็วขึ้น และ 3. พัฒนาทักษะ และยืดอายุแรงงานในระบบที่มีอยู่ จากการใช้มาตราด้านการคลังมาช่วยเอกชน ปรับโครงสร้างได้ดีขึ้น
ด้านนายปูนีท ธวัน หัวหน้าฝ่ายบริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า การท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อประเทศไทยและการขับเคลื่อน GDP ของประเทศ เนื่องจากเม็ดเงินจากการใช้จ่ายของ นักท่องเที่ยวจะกระจายลงไปในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถแท็กซี่ ช้อปปิ้ง ทัวร์ต่างๆ การกระตุ้นการท่องเที่ยวจึงมีความสำคัญ จึงอยากให้รัฐบาลดึงบิ๊ก อีเว้นท์ หรือ คอนเฟอเร้นท์ที่เป็นระดับโลกจริงๆเข้ามาจัดในไทย เช่น ดึง เทย์เลอร์ สวิฟต์ เข้ามาจัดคอนเสิร์ตในไทย
หรือดึงงานเทศกาลดนตรีระดับโลกเข้ามาจัดในไทยมากขึ้น เหมือนที่จะมีการจัดงานเทศกาลดนตรี EDC จากลาสเวกัส ( Electric Daisy Carnival เป็นเทศกาลดนตรี EDM ขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกา) ซึ่งจะเข้ามาจัดที่ภูเก็ตในวันที่ 17-19 มกราคม 2568 ที่ขณะนี้มียอดการซื้อตั๋วเข้าชมแล้วกว่า 3 พันใบ การจัดงานระดับโลกเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ประเทศไทยมีโรงแรมที่มีคุณภาพ มีบริการที่ดี และอาหารอร่อยมีศักยภาพในการดึงงานระดับโลกมาจัดในไทย
รวมไปถึงการดึงให้ต่างชาติเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในเมืองไทย ก็ช่วยโปรโมทประเทศไทยสู่สากล อย่างล่าสุด การถ่ายทำเรื่อง White Lotus ในไทยที่มีดาราดัง รวมถึง ลิซ่า Blackpink มาร่วมแสดง ซึ่งหลังจากภาพยนตร์ออกฉาย ก็มั่นใจว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมาเที่ยวสมุย และภูเก็ต เพิ่มขึ้น และการจัดงานเคาท์ดาวน์ 2025 ที่จะมีลิซ่า มาร่วมงานด้วย ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าพักเฉลี่ยให้กับโรงแรมในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น
การท่องเที่ยวไทยในปีนี้มีทิศทางบวกต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากมาตรการวีซ่าฟรี ให้กับนักท่องเที่ยวจาก 93 ประเทศ ให้อยู่ได้นาน 60 วัน ก็อยากให้รัฐบาลยังคงมาตรการนี้ไว้ต่อเนื่อง
อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีหน้าจะเป็นช่วงไฮซีซัน ซึ่งจะมีเที่ยวบินเข้าไทยเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวยุโรปจะเข้ามาเที่ยวได้มากขึ้น และคาดว่าไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 35 ล้านคนตามเป้าหมายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางไว้” นายธวัน กล่าวทิ้งท้าย
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่า แผนกระตุ้นท่องเที่ยวไทย ผมจะทยอยหารือกับทูตทุกประเทศ เพื่อส่งเสริมให้สายการบินจากประเทศต่างๆเข้ามาเปิดบินในไทยเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงท่องเที่ยวฯจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง ในการสนับสนุนให้บางสายการบินในตลาดเป้าหมาย เปิดเที่ยวบินเข้าไทย
รวมไปถึงจะหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อจัดทำโครงการเราเที่ยวด้วยกัน แต่จะใช้ชื่อใหม่ แต่รูปแบบจะคล้ายกัน คือ รัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทาง 40 % ประชาชน 60 % หรืออาจจะสนับสนุนในลักษณะ 50:50 ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผน ซึ่งต้องรอดูว่างบประมาณที่กระทรวงการคลังจะมีให้น่าจะอยู่เท่าไหร่
ทั้งนี้เพื่อจะได้กำหนดการใช้สิทธิ์ให้เหมาะสมกับวงเงินที่จะได้รับ โดยโครงการที่ผ่านมาดำเนินการมา 5 เฟสแล้ว เห็นชัดเจนว่า ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 58,621 ล้านบาท จากการใช้งบประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท
อีกทั้งจะผลักดันให้เกิดการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยมากขึ้น โดยเตรียมจะเสนอครม.เพิ่มวงเงินการขอคืนเงิน ในรูปแบบ Cash Rebate ตามมาตรการอินเซ็นทีฟ จากสูงสุดไม่เกิน 20%
โดยจำกัดวงเงินคืนเงินไม่เกิน 150 ล้านบาทต่อเรื่อง ปรับเพิ่มเป็นขั้นบันไดสูงสุด 30% และไม่มีการจำกัดวงเงินคืน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสร้างแรงจูงใจ ให้เข้ามาถ่ายทำในไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการนี้ผ่านการเห็นชอบจากบอร์ดภาพยนตร์แล้ว
สำหรับในช่วงส่งท้ายปีนี้ กระทรวงพยายามอย่างยิ่งให้มีเซอร์ไพรสใหญ่ในส่วนของการดึงบิ๊กอีเวนต์เข้ามาจัดในไทย ทั้งคอนเสิร์ตและการแข่งขันกีฬา อาทิ โปรแกรมฟอร์มูล่าวัน หรือเอฟวัน ซึ่งได้ยืนยันกับทางผู้จัดว่าแม้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี
แต่ก็พร้อมเป็นเจ้าภาพในการจัดงานดังกล่าว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเส้นทาง และสถานที่ในการจัด ถ้าไทยได้รับเลือกจะจัดการแข่งขันในช่วงปี 2570 เพื่อตอบโจทย์ความชื่นชอบเฉพาะ ซึ่งไม่ได้เน้นแค่การแข่งขันในช่วงกลางวันเท่านั้น แต่ต้องมีการแข่งในช่วงกลางคืนด้วย จึงต้องศึกษาพื้นที่จัดที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด เนื่องจากเชื่อว่าหากมีการจัดได้ จะดันเศรษฐกิจขึ้นได้อย่างมหาศาลแน่นอน
ด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยกลุ่มธุรกิจระดับกลางถึงบนฟื้นตัวกลับขึ้นมากว่า 90% แล้ว แต่กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ที่เป็นโรงแรม 2 ดาว 3 ดาว ยังต้องการเรื่องของการเข้าถึงของแหล่งเงินทุน
หากกระบวนการผลักดันการแก้ไขกม.ที่เป็นอุปสรรคด้านการท่องเที่ยวถ้าทำสำเร็จในปีหน้า ก็จะช่วยขับเคลื่อนการท่องเที่ยวได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขพ.ร.บ.โรงแรมให้สอดรับกับปัจจุบัน ที่วันนี้รูปแบบการให้บริการที่พักมีความหลากหลายกว่าในอดีต
การดำเนินการเรื่องการปล่อยเงินกู้ให้ธุรกิจเอสเอ็มอี รวมไปทำการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว Manmade เพื่อสร้างจุดขายท่องเที่ยวใหม่ๆ
เรามีแผนอยากยกระดับเมืองท่องเที่ยวและเมืองน่าเที่ยวด้วยการพัฒนาไฮไลท์ Manmade ในแต่ละจังหวัด เช่น การพัฒนาน้ำพุร้อนเค็มคลองท่อม ของจ.กระบี่ และน้ำพุร้อนสันกำแพง จ.เชียงใหม่ ยกระดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยว เป็นต้น