ปัจจุบันโรงแรมและรีสอร์ทในเครือไมเนอร์ โฮเทลส์ มีมากกว่า 560 แห่งใน 58 ประเทศ ภายใต้ 8 แบรนด์โรงแรมทั่วโลก จากการเติบโตของบริษัทขับเคลื่อนผ่านการขยายแบรนด์ระดับลักชัวรีอย่าง อนันตรา (Anantara) และแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมอย่าง อวานี (Avani)
รวมถึงการเข้าซื้อกิจการโรงแรม เอเลวาน่า คอลเลคชั่น (Elewana Collection) โอ๊คส์ (Oaks) ทิโวลี (Tivoli) และ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป (NH Hotel Group) ซึ่งประกอบด้วย เอ็นเอช (NH) เอ็นเอช คอลเลคชั่น (NH Collection) และ นาว (nhow)
แบรนด์โรงแรม ในเครือ ไมเนอร์ โฮเทลส์
จากการมีโรงแรมที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้ล่าสุดไมเนอร์ โฮเทลส์ จึงเดินหน้ารีแบรนด์ธุรกิจ โดยเปิดตัวกลยุทธ์ ภายใต้อัตลักษณ์ใหม่ โดยการขับเคลื่อนธุรกิจผ่านประสบการณ์ดิจิทัล โปรแกรมสมาชิก และช่องทางการขาย มัดรวมอยู่ในช่องทางเดียวกัน ในลักษณะ One Place One Application One website รวมทั้ง 8 แบรนด์ ใน 560 โรงแรม เพื่อสร้างความรับรู้ธุรกิจของไมเนอร์ โฮเทลส์ในวงกว้าง และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงของนักท่องเที่ยว ทั้งในแบบ B2C และลูกค้ากลุ่ม B2B
นอกจากนี้ยังมีแผนจะเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่อีก 2-3 แบรนด์ ซึ่งเป็นทั้งระดับลักชัวรี อัพสเกล และซอฟต์แบรนด์ อินดิเพนเดนต์ (แบรนด์ที่มีการจัดการในรูปแบบที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับตลาดและกลุ่มลูกค้า โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตัวเอง) การเพิ่มจำนวนโรงแรมใหม่ขึ้นอีก 300 แห่ง ภายในปี 2570 ภายใต้เป้าหมายที่จะผลักดันให้ไมเนอร์ โฮเทลส์ เป็น The best ด้านฮอสพิทาลิติลี้
นาย ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า การรีแบรนด์ครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดบนเส้นทางแห่งความสำเร็จของเราในช่วงกว่า 50 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่สร้างการเติบโตทางด้านรายได้และผลกำไร แต่ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของเราในด้านความหลากหลาย ความเชี่ยวชาญ และศักยภาพของทีมงาน
ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์
ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และลงทุนเพื่อยกระดับประสบการณ์ของแขกผู้เข้าพัก การรวมทุกแบรนด์โรงแรมและประสบการณ์การท่องเที่ยวทั้งหมดไว้ภายใต้ชื่อ ไมเนอร์ โฮเทลส์ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของเราในอุตสาหกรรมการบริการ และสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตของเราให้สำเร็จลุล่วง
ไมเนอร์ โฮเทลส์
การพัฒนาแบรนด์ครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของบริษัทย้อนกลับไปในปี 2521 (1978) เมื่อ วิลเลียม อี. ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งบริษํท ได้เข้าซื้อกิจการโรงแรม Royal Garden Resort ในพัทยา จากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน ไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจโรงแรม ด้วยโรงแรมในเครือมากกว่า 560 แห่งใน 58 ประเทศ
นายเอียน ดิ ทูลลิโอ (Ian Di Tullio) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวว่า วันนี้เราโฟกัสEvolution ไม่ใช่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นการที่ปรับตัวได้มากที่สุด เป็นหัวใจสำคัญทำให้เราเติบโตทุกวันนี้ การพัฒนา Evolution หรือ การพัฒนาแบรนด์ภายอัตลักษณ์ใหม่
เอียน ดิ ทูลลิโอ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ ไมเนอร์ โฮเทลส์
จริงๆแล้วการพัฒนาแบรนด์ของไมเนอร์เกิดขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เริ่มจากโรงแรมแห่งแรกที่หัวหิน จนปัจจุบันขยายเพิ่มมาเป็น 560 แห่ง เราไม่เคยหยุดปรัชญาหลักการทำงานของเรา “ไมเนอร์ โฮเทลส์ ไม่จำเป็นต้องเป็น Biggest” แต่ต้องการเป็น “The Best” ด้านฮอสพิทาลิตี้ โดยมีแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดียิ่งๆขึ้นไป
“ตอนแรกถ้าเรามี 1 แบรนด์ 1 โรงแรม หรือมี 20-30 โรงแรมก็ยังไม่จำเป็น แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ มีปัจจัยกระตุ้นหลักๆ ใน 3 ระลอก ระลอกแรกตั้งแต่ไมเนอร์ เข้าซื้อกิจการของโอ๊คส์ ที่มีธุรกิจโรงแรมในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ระลอกที่สอง คือการซื้อเอ็นเอช ในยุโรป ขยายจาก 60 โรงแรม และอีกระลอก คือ เราต้องการเป็นลูกค้าโกลเบิ้ล กลุ่มลูกค้าอยู่ตรงเราไปที่ไหน ก็จะไปทั่วโลก ทำให้เรามีการขยายโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยๆแห่ง ใน 8 แบรนด์ เวลานี้เป็นจังหวะที่ดีที่สุด ในการรีแบรนด์ที่เกิดขึ้น”
การรีแบรนด์ที่เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ผู้ใช้บริการจะได้เห็นคือภาพลักษณ์ใหม่ที่สดใสของ โลโก้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ หัวลูกศรภายในตัวอักษร ‘M’ ในโลโก้ใหม่เป็นสัญลักษณ์ของทิศทางและการนำทาง ชี้ไปสู่การค้นพบ การเชื่อมต่อ และการผจญภัย พร้อมทั้งสะท้อนบทบาทของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ในการสร้างสรรค์เส้นทางแห่งประสบการณ์ที่มีความหมายสำหรับแขกผู้เข้าพัก
ไมเนอร์ โฮเทลส์
อัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ยังเสริมด้วย สีสัน ฟอนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และสไตล์ภาพถ่ายที่สะดุดตา โดยอัตลักษณ์ใหม่นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแก่นแท้ของแบรนด์ภายใต้แนวคิด "What Matters Most" หรือ "สิ่งที่สำคัญที่สุด" ซึ่งเป็นใจความหลักที่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราวของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ให้สอดคล้องกับความต้องการและความปรารถนาของลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และทีมงานทุกคน
อีกทั้งเป้าหมายในการรีแบรนด์ คือ ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า โดยรวมตัวกันทั้ง 8 แบรนด์ ให้มาอยู่ในศูนย์รวมเดียว ในลักษณะ One Place One Application One website เพราะที่ผ่านมาทุกคนอาจจะรู้จักแบรนด์โรงแรมต่างๆ แต่หลายคนไม่รู้ว่าอยู่ในเครือไมเมอร์
ดังนั้นการรีแบรนด์ จะทำให้ ลูกค้าจะเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์มดิจิทัล และมือถือ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการตลาด ช่องทางการขาย และการสื่อสารภายในโรงแรมในเครือ นอกจากนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ โฉมใหม่ยังจะปรากฏให้เห็นบ่อยขึ้นผ่านการสื่อสารและโฆษณาแบบหลายแบรนด์ ซึ่งใช้พลังของแบรนด์โรงแรมในเครือเพื่อเสริมสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์หลัก
การพัฒนา One Place One Application One website จะช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งนอกจากการขายผ่านช่องทางขายระดับโลก ที่ไมเนอร์ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว อาทิ HBX ,Dnata และ Fliggy นักท่องเที่ยวจะเข้าถึงแอปเดียว ไม่ว่าจะพักโรงแรมใดก็ตามใน 8 แบรนด์ ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้บริการ เช่น เช็คอิน การส่งอาหาร และรอยัลตี้ โปรแกรม จากสมาชิกกว่า 10 ล้านคน รวมสิทธิพิเศษจาก 8 แบรนด์มาอยู่ในแอปเดียวกันเช่นกัน การดาวน์โหลดใช้เวลาไม่เกิน 30 วินาที ทำให้ไมเนอร์ มอบประสบการณ์ให้ลูกค้าได้มากขึ้น
โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้ปรับโฉมหน้าเว็บไซต์ minorhotels.com โดยเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นข้อมูลองค์กรและการพัฒนา มาเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคโดยเฉพาะ โดยจะเป็นครั้งแรกที่แขกสามารถจองที่พักจากโรงแรมในเครือกว่า 560 แห่ง รวมถึงค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ได้ครบจบภายในเว็บไซต์เดียว
นอกจากนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังได้เปิดตัวแอปพลิเคชันมือถือใหม่ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่รวมทุกแบรนด์ในเครือเข้าไว้ด้วยกัน แทนแอปพลิเคชันแยกตามแบรนด์โรงแรม โดยนักเดินทางสามารถใช้แอป Minor Hotels เพื่อทำการจอง จัดการการจอง ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางต่าง ๆ รวมถึงติดต่อทีมโรงแรมและขอรับบริการต่าง ๆ ระหว่างการเข้าพักผ่านแอปพลิเคชันเดียวอีกด้วย
ทางกลุ่ม ยังจะพัฒนาฟังก์ชันการใช้งานและเพิ่มความเป็นส่วนตัวบนเว็บไซต์ MinorHotels.com และแอปพลิเคชัน Minor Hotels ที่รวมห้องอาหาร สปา และเวลเนส ไว้ด้วยกันกับห้องพักในที่เดียว โดยนำความชอบและข้อเสนอแนะจากลูกค้ามาใช้ในการพัฒนาเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้น
ทั้งยังคงมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกผ่านโปรแกรมสะสมคะแนนของกลุ่มพันธมิตรโรงแรมสากล (Global Hotel Alliance: GHA) โดยใช้ชื่อใหม่ Minor DISCOVERY ซึ่งจะมาแทนโปรแกรมสมาชิกเดิมของแต่ละแบรนด์โรงแรม ได้แก่ Anantara DISCOVERY, Avani DISCOVERY, NH DISCOVERY, Oaks DISCOVERY, Elewana DISCOVERY และ Tivoli DISCOVERY การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้สมาชิกสามารถเข้าถึงหนึ่งในโปรแกรมสะสมคะแนนของโรงแรมที่โปร่งใสและให้รางวัลคุ้มค่าที่สุดได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
โดยยังคงสิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกเหมือนเดิม รวมถึงการได้รับเงินคืน 4-7% ในรูปแบบ DISCOVERY DOLLARS (D$1 = US$1) พร้อมราคาพิเศษสำหรับสมาชิก ข้อเสนอพิเศษจากโรงแรมในเครือ และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับสมาชิกระดับสูง ซึ่งสามารถเข้าใช้งานผ่านแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ Minor PRO สำหรับกลุ่มลูกค้า B2B ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ บริการ และการสื่อสารทั้งหมดสำหรับธุรกิจ นักวางแผนอีเวนต์ และตัวแทนท่องเที่ยว โดยเป็นการรวมแพลตฟอร์มเดิมของแต่ละแบรนด์ เช่น NH PRO, Anantara Journeys และ Oaks Professionals ไว้ในที่เดียว
ทั้งนี้เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มมืออาชีพเพื่อมอบประสบการณ์ที่สะดวกยิ่งขึ้น ต่อไปกลุ่มธุรกิจหรือทราเวล เอเย่นต์ ที่ต้องการจองห้องพัก จองห้องประชุม จัดเลี้ยง จัดอีเว้นท์ สามารถดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มใหม่นี้ โดยไม่ต้องเข้าไปดำเนินการเป็นรายโรงแรมอย่างที่ผ่านมา
นายทูลลิโอ ยังกล่าวต่อว่า ไม่เพียงแต่การรีแบรนด์ ไมเนอร์ ยังมีแผนจะเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่เพิ่มอีก 2-3 แบรนด์ภายในปีนี้ ส่งผลให้ไมเนอร์ โฮเทลส์ จะมีแบรนด์โรงแรมรวม 10-11 ในเร็วๆนี้ โดยจะเป็นแบรนด์ระดับลักชัวรี อัพสเกล เหมือนกัน แต่ทั้งคู่ จะเป็นซอฟต์แบรนด์ อินดิเพนเดนต์ (แบรนด์ที่มีการจัดการในรูปแบบที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับตลาดและกลุ่มลูกค้า โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตัวเอง) ที่เราคลีเอดขึ้นมาใหม่ เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ในลักษณะสตอรี่ เทลลิ่ง อาทิ การไปคอลแลปกับ อาร์ต หรือ มิวสิค สร้างประสบการณ์ในการเข้าพักของนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น
เนื่องจากเราเห็นว่ามีช่องว่างในการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ เพราะเจ้าของโรงแรมอิสระ (อินดิเพนเดนต์ โฮเทล) มีการมองหาแบรนด์โรงแรมมาช่วยบริหารมากขึ้น แทนที่จะบริหารจัดเอง ซึ่งจะมีค่าบริหารจัดการที่แพงกว่า การสร้างแบรนด์ใหม่นี้จะเพิ่มรายได้ธุรกิจโรงแรมเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมองโลเคชัน ไว้ที่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง