“เฉลิมชัย” ชูเทคโนโลยี-ตลาดนำการผลิต เคลื่อนธุรกิจสหกรณ์ 3.5 ล้านล้านบาท

04 พ.ย. 2565 | 12:00 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ย. 2565 | 19:12 น.

“เฉลิมชัย”ประกาศนโยบายพัฒนาสหกรณ์ปี 2566 ชูยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ควบนำเทคโนโลยีเกษตรมาประยุกต์ในกระบวนการผลิต ย้ำยึดหลักธรรมาภิบาล บริหารโปร่งใส เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน เผยปี 2565 สหกรณ์ทุกประเภทมีมูลค่าธุรกิจรวมกันกว่า 3.58 ล้านล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงาน (4 พ.ย.2565) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตรที่ ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แทนในการมอบนโยบายการปฏิบัติราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้แก่ข้าราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในห้องประชุม 200 คนและผ่านระบบทางไกลไปทุกจังหวัดอีก 1,520 คน โดยมีผู้บริหารของกรมส่งเสริมสหกรณ์ให้การต้อนรับ

 

นายอลงกรณ์ ได้แถลงนโยบายว่า เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลด้านการเกษตรและขับเคลื่อนงานสําคัญของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการเกษตร มีเป้าหมายในการพัฒนาให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันช่วยเหลือตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปแบบของการสหกรณ์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรของชุมชน

“เฉลิมชัย” ชูเทคโนโลยี-ตลาดนำการผลิต เคลื่อนธุรกิจสหกรณ์ 3.5 ล้านล้านบาท

 

โดยส่งเสริมให้นําแนวทาง “การตลาดนําการผลิต” การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ และการนําเทคโนโลยีการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย สร้าง รายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างระบบการเงินการบัญชีที่มีเกณฑ์การตรวจสอบบัญชี ตามมาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้ให้แก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรนําไปใช้ปฏิบัติมีการ กําหนดเกณฑ์การควบคุมภายในที่ดี การควบคุมและดูแลการดําเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร

 

ทั้งนี้ในปี 2565 สหกรณ์ทุกประเภทมีทุนดําเนินงานรวมกันเป็นเงินกว่า 1.785 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าธุรกิจทุกประเภทรวมกันกว่า 3.58 ล้านล้านบาท มีสถาบันเกษตรกรจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ จํานวน 7,690 สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร จํานวน 4,110 แห่ง จํานวนสมาชิกรวมทั้งสิ้นกว่า 12 ล้านคน

 

“เฉลิมชัย” ชูเทคโนโลยี-ตลาดนำการผลิต เคลื่อนธุรกิจสหกรณ์ 3.5 ล้านล้านบาท

โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานในปีงบประมาณ2566 ดังนี้

 

  • นโยบายด้านการส่งเสริมพัฒนาและการกํากับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร

1) ผลักดันให้ สมาชิก มีส่วนร่วมในการดําเนินธุรกิจกับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมากขึ้น

2) เพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร

ด้วยนโยบาย “การตลาดนําการผลิต” “เทคโนโลยีเกษตร 4.0” และ “การส่งเสริม การเกษตรแบบแปลงใหญ่” ไปเป็นเข็มทิศในการทํางาน

 

3) การบริหารองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล

กรมส่งเสริมสหกรณ์ต้องร่วมมือกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์อย่างใกล้ชิด กํากับดูแล แนะนํา และการสร้างระบบบัญชีที่มีมาตรฐาน ลงพื้นที่เข้าตรวจการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทุกแห่ง เข้าแนะนํา ตรวจสอบให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปิดบัญชีได้ตามกฎหมาย สร้างความโปร่งใสในการ บริหารงานของคณะกรรมการดําเนินการและฝ่ายจัดการ สร้างระบบควบคุมภายใน ระบบบริหาร จัดการความเสี่ยงและระบบตรวจสอบที่ดี ทําให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปลอดการทุจริตให้มากที่สุด

 

4) การแก้ไขข้อบกพร่องของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร

เมื่อตรวจพบสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีการทุจริตหรือข้อบกพร่อง กรมส่งเสริมสหกรณ์ ต้องรีบเข้าดําเนินการกํากับ สั่งการให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรแก้ไขข้อบกพร่องตามกฎหมายและ ขั้นตอนที่ได้รับมอบอํานาจอย่างมีประสิทธิภาพและแล้วเสร็จโดยเร็ว

 

“เฉลิมชัย” ชูเทคโนโลยี-ตลาดนำการผลิต เคลื่อนธุรกิจสหกรณ์ 3.5 ล้านล้านบาท

 

  • นโยบายด้านการตรวจสอบทางการเงินและการบัญชี

1) พัฒนาระบบการตรวจสอบบัญชี

เน้นการตรวจสอบให้เป็นไปตาม มาตรฐานวิชาชีพ โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ทันต่อ สถานการณ์ ยึดความถูกต้องในการทํางานไม่ต้องกังวล ในกรณีเกิดสถานการณ์ทุจริตให้เร่งดําเนินการ เชิงรุกในการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นโดยสะดวกรวดเร็วและลดต้นทุนในการใหบ้ริการสมาชิกส่งเสริมการออมในชุมชนนอกเหนือการให้กู้ยืม

 

2) เพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร

ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจรับฝากเงิน ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจําหน่าย ธุรกิจรวบรวมผลผลิต ธุรกิจการแปรรูปและธุรกิจบริการ จะช่วยให้สหกรณ์และ กลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็ง ส่งผลให้เกษตรกรสมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น แก้ไขปัญหา การประกอบอาชีพในชุมชนได้อย่างยั่งยืน

 

3) การบริหารองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล

กรมส่งเสริมสหกรณ์ต้องร่วมมือกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์อย่างใกล้ชิด กํากับดูแล แนะนํา และการสร้างระบบบัญชีที่มีมาตรฐาน ลงพื้นที่เข้าตรวจการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทุกแห่ง เข้าแนะนํา ตรวจสอบให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปิดบัญชีได้ตามกฎหมาย สร้างความโปร่งใสในการบริหารงานของคณะกรรมการดําเนินการและฝ่ายจัดการ สร้างระบบควบคุมภายใน ระบบบริหาร จัดการความเสี่ยงและระบบตรวจสอบที่ดี ทําให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปลอดการทุจริตให้มากที่สุด

4) การแก้ไขข้อบกพร่องของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร

 

  • นโยบายด้านการตรวจสอบทางการเงินและการบัญชี

1) พัฒนาระบบการตรวจสอบบัญชี

การตรวจสอบบัญชีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรถือเป็นงานที่สําคัญที่ช่วยสร้างความโปร่งใส ให้แก่สถาบันสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ควรเน้นการตรวจสอบให้เป็นไปตาม มาตรฐานวิชาชีพ โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจสอบ ในกรณีเกิดสถานการณ์ทุจริตให้เร่งดําเนินการ เชิงรุกในการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยอาจจัดทําเป็นทีมตรวจสอบ เฉพาะกิจและร่วมแก้ไขปัญหากับกรมส่งเสริมสหกรณ์

 

2) ให้ความสําคัญกับการกํากับดูแลและตรวจสอบคุณภาพการสอบบัญชีสหกรณ์

กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ต้องมุ่งเน้นตรวจสอบคุณภาพงานของผู้สอบบัญชีให้เข้มข้น เป็นไป ตามมาตรฐานและข้อกําหนดด้านจรรยาบรรณ ในกรณีผู้สอบบัญชีปฏิบัติไม่เป็นไปตามมาตรฐาน หรือ ปฏิบัติงานบกพร่องให้ลงโทษอย่างจริงจัง

 

3) พัฒนาความสามารถด้านการเงินการบัญชี และการควบคุมภายในแก่สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกร

เนื่องจากบัญชีเป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสําเร็จของทุกอาชีพ

4) มุ่งพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีด้านการบัญชีเพื่อให้บริการแก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร

 

ทั้งนี้ หวังว่าบุคลากรของกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทุกคน จะมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และร่วมกันผลักดันให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็ง มีคุณภาพ เป็นที่พึ่งของเกษตรกรและชุมชนได้อย่างยั่งยืน