นายกฤษฎา บุญราช ประธานสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุดรธานี เพื่อให้แนวทางการสนับสนุนโครงการปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์หลังทำนาปี ซึ่งเป็นหนึ่งทางเลือกในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกรหลังฤดูการทำนา อีกทั้งการปลูกข้าวโพดใช้น้ำน้อยกว่าการทำนาถึง 2 เท่า
ทั้งนี้ในการดำเนินโครงการ ได้กำหนดแผนงาน และวิธีการทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น และอุดรธานี และประสานงานกับส่วนราชการทั้งในส่วนกลาง และระดับจังหวัด อำเภอ คือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ
พร้อมทั้งได้ประสานเชิญกลุ่มบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจอาหารสัตว์เข้าร่วมโครงการด้วย โดยมี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด เข้าร่วมโครงการเป็นรายแรก ซึ่งสถาบันปิดทองหลังพระฯ ได้กำหนดเงื่อนไขให้บริษัทเอกชนที่เข้าร่วมโครงการต้องลงทุนออกค่าใช้จ่ายในการปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกรโดยไม่คิดดอกเบี้ย ตั้งแต่ขั้นตอนการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช
นายกฤษฎา กล่าวว่า ก่อนลงมือปลูกและระหว่างปลูกข้าวโพดนั้น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด จะส่งพนักงานมาร่วมกับเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอ และเจ้าหน้าที่สถาบันปิดทองหลังพระฯ ในการตรวจสอบคุณภาพดินและปริมาณน้ำ รวมทั้งแนะนำวิธีการปลูกและบำรุงแปลงข้าวโพด และวิธีการเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่ถูกวิธี
ทั้งนี้บริษัทได้ให้คำมั่นว่า จะรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรในราคารับรองขั้นต่ำกิโลกรัมละ 8.50 บาท ต่อความชื้นไม่เกิน 27% หรือในช่วงผลิตออกสู่ตลาด หากราคาในท้องตลาดมีราคาสูงขึ้นกว่าราคารับรอง บริษัทจะรับซื้อในราคาที่สูงขึ้นตามราคาในท้องตลาด
แต่หากช่วงเวลาผลผลิตออกสู่ตลาด ราคาข้าวโพดลดต่ำกว่า 8.50 บาท บริษัทจะรับซื้อในราคารับรองที่ตกลงกันไว้ในราคาขั้นต่ำกิโลกรัมละ 8.50 บาท และหากเกษตรกรสามารถร่วมกันปลูกข้าวโพดตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป บริษัทจะมาตั้งจุดรับซื้อข้าวโพดโดยตรงจากเกษตรกรในพื้นที่ โดยเกษตรกรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งผลผลิตไปขายต่างจังหวัด และถูกกดราคารับซื้ออย่างไม่เป็นธรรม
รวมทั้งระหว่างปลูกข้าวโพดแล้ว หากเกิดภัยธรรมชาติ โรคระบาดหรือน้ำท่วม ทำให้ข้าวโพดเสียหายทั้งหมด หรือเมื่อเกษตรกรทำตามขั้นตอนแล้ว ขายผลผลิตไม่พอกับต้นทุนค่าปัจจัยการผลิต สถาบันฯ จะร่วมกับส่วนราชการ และบริษัทที่เข้าร่วมโครงการฯ ตรวจสอบพิสูจน์ความเสียหายนั้น หากเป็นจริง บริษัทก็จะไม่เรียกหนี้เงินทุนจากเกษตรกร
สถาบันฯ ยังกำหนดเงื่อนไขสำคัญคือเกษตรกรที่อยากเข้าร่วมโครงการต้องนำเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน หรือหนังสือรับรองจากส่วนราชการว่าที่ดินที่นำมาร่วมโครงการไม่ใช่ที่ดินป่าสงวนหรือที่ดินสาธารณะมาร่วมโครงการอย่างเด็ดขาด เมื่อเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้ว ห้ามใช้วิธีการเผาทำลายตอซังข้าวโพดหรือเศษหญ้าวัชพืช เพื่อเป็นรักษาสิ่งแวดล้อม
“ขอให้เกษตรกรได้ปรึกษาหารือ ช่วยกันคิดเปรียบเทียบระหว่างการทำนาปรัง หรือการปลูกพืชอื่น ๆ กับการปลูกข้าวโพดว่าแตกต่างอย่างไร ทั้งวิธีการปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยว พืชชนิดไหนจะทำกำไร และสร้างรายได้เพียงพอ คุ้มค่า ก่อนตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ หากเห็นว่ามีบริษัทรายใด เสนอข้อตกลงที่ดีกว่าเจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส ก็เชิญชวนมาร่วมโครงการได้ โดยสถาบัน จะช่วยตรวจสอบข้อตกลงต่างๆ ไม่ให้เกษตรกรเสียเปรียบ”
ล่าสุดมีเกษตรกรจังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น และอุดรธานี ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการกว่า 2,296 ราย โดยอยู่ระหว่างการตรวจประเมินแปลงที่มีความพร้อม เพื่อไม่ให้เกษตรกรมีความเสี่ยง ทั้งในเรื่องความเหมาะสมของดิน ปริมาณน้ำที่เพียงพอ และแรงงานที่เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูก คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ครอบครัว โดยจะเริ่มลงมือปลูกข้าวโพดหลังเก็บเกี่ยวข้าวนาปีตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป
โดยข้าวโพดอาหารสัตว์จะมีอายุการปลูกประมาณ 4 เดือนหรือ 120 วัน จึงสามารถเก็บเกี่ยวข้าวโพดได้ในช่วงเดือนเมษายน 2566 หากเกษตรกรสามารถดำเนินการได้ตามโครงการ และเงื่อนไขโดยไม่ประสบภัยธรรมชาติแล้ว คาดว่าเกษตรกรจะมีกำไร (รายได้ - ต้นทุน) อย่างต่ำประมาณไร่ละ 3,500 -4,000 บาท ซึ่งสูงกว่าการทำนาที่ได้รายได้เพียงไร่ละ 800-1,000 บาท
สำหรับโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์หลังการทำนา เป็นการสืบสาน ต่อยอด และขยายผลตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ได้ประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่า มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีรายได้อย่างยั่งยืน
รวมถึงคำนึงถึงสภาพภูมิสังคม รวมถึงหลักการมีส่วนร่วมหรือการระเบิดจากข้างใน มาใช้ในการดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์หลังการทำนา เพราะสังคมไทยยังเป็นสังคมเกษตรกรรม มีพื้นที่ทำการเกษตรมากกว่า 50% ของพื้นที่ทั้งประเทศ
หากการดำเนินงานตามโครงการนี้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว สถาบันฯ จะพิจารณาขยายผลโครงการไปดำเนินการในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ในฤดูฝนหรือเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
รวมทั้งจะให้ฝ่ายวิเคราะห์การตลาดของสถาบันฯ รวบรวมวิเคราะห์ข้อมูล พืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ เช่น พืชตระกูลถั่ว กล้วย พืชผัก กาแฟ มะพร้าว ว่าตลาดมีความต้องการมากน้อยเพียงใด เพื่อนำรูปแบบการบริหารโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์มาเป็นต้นแบบในการดำเนินงาน โดยจะคงรูปแบบการกำหนดราคารับซื้อล่วงหน้าที่เป็นธรรมให้แก่เกษตรกร