“อินโดรามา เวนเจอร์ส” ติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ต่อเนื่อง 6 ปีซ้อน

13 ธ.ค. 2565 | 11:31 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ธ.ค. 2565 | 18:43 น.

“อินโดรามา เวนเจอร์ส” ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI World) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ควบดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ กลุ่มประเทศเกิดใหม่ เป็นปีที่ 6 ดัน ลุยเป้าหมายร่วมกันยกระดับเคมีภัณฑ์เพื่อโลกที่ดีกว่า

รายงานข่าวจาก บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล เผยว่า  บริษัทได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ระดับโลก (Dow Jones Sustainability World Index: DJSI World) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ด้วยเปอร์เซ็นไทล์ที่ 96 และเป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Dow Jones Sustainability Emerging Markets Index: DJSI Emerging Markets) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ด้วยเปอร์เซ็นไทล์ที่ 99 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของไอวีแอลที่ต้องการร่วมกันยกระดับเคมีภัณฑ์เพื่อโลกที่ดีกว่า

นายยาช โลเฮีย ประธานคณะกรรมการด้านการดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า การได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ระดับโลก และกลุ่มประเทศเกิดใหม่ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหลายปี ถือเป็นข้อพิสูจน์สำคัญต่อเส้นทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ความยั่งยืน ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากความร่วมมือ จึงขอขอบคุณพนักงาน ลูกค้า และพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนเส้นทางสู่ความยั่งยืนของบริษัทอย่างต่อเนื่อง

 

“อินโดรามา เวนเจอร์ส” ติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ต่อเนื่อง 6 ปีซ้อน

ทั้งนี้ในปี 2565 S&P Global เชิญบริษัทกว่า 11,000 แห่งเข้าร่วมการประเมินด้านความยั่งยืนทางธุรกิจ (Corporate Sustainability Assessment: CSA) โดยบริษัทที่มีผลงานโดดเด่นเท่านั้นที่จะได้รับพิจารณาสำหรับการเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ ในปีนี้มีบริษัทเคมีภัณฑ์รวม 86 แห่งที่มีความผู้นำด้านความยั่งยืนและเข้าเกณฑ์การพิจารณาสำหรับ DJSI World ซึ่งติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีที่สุดร้อยละ 10 อันดับแรกจากบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 2,500 แห่งทั่วโลก

 

ขณะที่มีบริษัทเคมีภัณฑ์ 34 แห่งที่เข้าเกณฑ์การพิจารณาสำหรับ DJSI Emerging Markets ซึ่งติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีสุดร้อยละ 10 อันดับแรกจากบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 800 แห่งในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ในบรรดาบริษัทที่เข้าเกณฑ์การพิจารณาทั้งหมด มีบริษัทเคมีภัณฑ์เพียง 10 แห่งที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก DJSI World และมีบริษัทเคมีภัณฑ์เพียง 3 แห่งที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก DJSI Emerging Markets

 

“การที่ไอวีแอลได้รับการจัดอันดับที่ดีอย่างต่อเนื่องติดต่อกันในดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์นั้น มาจากความมุ่งมั่นของบริษัทที่มุ่งเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ภายใต้วิสัยทัศน์ปี 2573 ไอวีแอลได้ให้คำมั่นในการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้โครงการริ่เริ่มกำหนดเป้าหมายโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์ โดยตั้งเป้าลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 และการเพิ่มการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 25 นอกจากนี้ ไอวีแอลยังร่วมเป็นที่ปรึกษาใน SBTi Expert Advisory Group สำหรับอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ รวมถึงให้ทุนสนับสนุนในการพัฒนาแนวทางการลดคาร์บอนของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์อีกด้วย”

 

นายยาช  กล่าวอีกว่า ในฐานะผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PET รีไซเคิลที่นิยมใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดในโลก ไอวีแอลได้เดินหน้ากำลังการรีไซเคิลขวด PET ใช้งานแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยได้พัฒนาธุรกิจรีไซเคิลจนสามารถบรรลุครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่ต้องการเพิ่มปริมาณขวด PET ใช้งานแล้วที่นำไปรีไซเคิลให้ได้ 7.5 แสนตัน หรือเทียบเท่า 5 หมื่นล้านขวดต่อปี ภายในปี 2568 และยังได้กำหนดเป้าหมายในการเพิ่มปริมาณการรีไซเคิลให้ได้ 1.5 ล้านตัน หรือเทียบเท่า 1 แสน ล้านขวดต่อปี ภายในปี 2573

 

สำหรับ บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก มีโรงงานผลิตครอบคลุมภูมิภาคหลักทั่วโลก ได้แก่ ยุโรป แอฟริกา อเมริกา และเอเชียแปซิฟิก โดยมีกลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจ Combined PET ธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives และ ธุรกิจ Fibers ผลิตภัณฑ์ของไอวีแอลรองรับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคล และอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางในรถยนต์และผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงานทั่วโลกราว 26,000 คนและมีรายได้จากการขายรวม 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2564