วันที่ 20 มีนาคม 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ มอบหมายให้ ดร.สรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดผลไม้ ปี 2566 ร่วมกับผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการผลไม้ ผู้แทนเกษตรกร ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง สถานีบริการน้ำมัน โลจิสติกส์ สายการบิน ผู้แทนสถาบันการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมมาตรการดูแลผลไม้ ปี 2566 รองรับผลผลิตที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 6.78 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 3% ที่ห้องบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์
โดยในปี 2566 นี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมตลาดล่วงหน้ารองรับผลไม้กว่า 700,000 ตัน ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ผลักดัน แบ่งเป็น 4 ด้าน 22 มาตรการดูแลผลไม้ ได้แก่ การผลิต การตลาดในประเทศ ต่างประเทศ และด้านกฎหมาย ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 เร่งรัดตรวจและรับรอง GAP เป้าหมายไม่ต่ำกว่า 120,000 แปลง
มาตรการที่ 2 ใช้อมก๋อยโมเดล ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจับคู่เกษตรกร-ผู้ค้า 100,000 ตัน
มาตรการที่ 3 ช่วยผู้ประกอบการหรือเกษตรกร กระจายผลผลิตผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท ปริมาณ 90,000 ตัน
มาตรการที่ 4 สนับสนุนให้มีรถเร่ รถโมบาย ไปรับซื้อผลไม้และนำออกจำหน่ายสู่ผู้บริโภคโดยตรงในช่วงที่ผลไม้ออกมาก 30,000 ตัน
มาตรการที่ 5 ประสานงานห้าง ร้านสะดวกซื้อและปั๊มน้ำมันต่าง ๆ เปิดพื้นที่ระบายผลไม้ให้แก่เกษตรกร 100,000 ตัน
มาตรการที่ 6 รณรงค์บริโภคผลไม้ไทย จัดงาน Fruit Festival ในแหล่งท่องเที่ยว สนับสนุนการโหลดผลไม้ขึ้นเครื่องบิน ฟรี 20 กก. ปริมาณรวม 42,000 ตัน
มาตรการที่ 7 สนับสนุนกล่อง พร้อมค่าจัดส่งผลไม้ที่ขายตรงจากเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ ไปยังผู้บริโภค ผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จำนวน 300,000 กล่อง หรือ 3,000 ตัน
มาตรการที่ 8 อบรมให้ความรู้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร เรื่องการค้าออนไลน์ ขายตรงให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงอบรมหลักสูตรการส่งออกเบื้องต้น ตั้งเป้าอย่างน้อย 2,500 ราย
มาตรการที่ 9 ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายแรงงาน
มาตรการที่ 10 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) เตรียมความพร้อมสนับสนุนกำลังพล ช่วยเก็บเกี่ยว คัดแยกและขนย้ายผลไม้ ในบางช่วงที่หากมีปัญหาแรงงาน
มาตรการที่ 11 เชื่อมโยงผลไม้ โดยทีมเซลล์แมนจังหวัด-ประเทศ ประสานงานกันช่วยระบายผลไม้ของเกษตรกรทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ
มาตรการที่ 12 ส่งเสริมการแปรรูปช่วยค่าบริหารจัดการแปรรูปผลไม้ เช่น ลำไยอบแห้ง ทุเรียนแช่แข็งเพื่อการส่งออก
มาตรการที่ 13 เจาะตลาดนิคมอุตสาหกรรม เปิดพรีออร์เดอร์ผลไม้ กว่า 15,000 ตัน ใน 60 นิคม 30,000 โรงงาน
มาตรการที่ 14 เสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก โดยจะช่วยเหลือดอกเบี้ย 3% และช่วยผู้ส่งออกผลไม้กิโลกรัมละ 4 บาท ปริมาณ 100,000 ตัน
มาตรการที่ 15 เจรจาจับคู่ซื้อขายผลไม้ออนไลน์ ออฟไลน์ มุ่งเน้นตลาดใหม่
มาตรการที่ 16 จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างประเทศ เช่น ส่งออกผลไม้สู่ตลาดจีนในโครงการ Thai Fruits Golden Months การขายผ่าน TV Shopping
มาตรการที่ 17 ส่งเสริมการส่งออกผลไม้ในงานแสดงสินค้านานาชาติ เช่น THAIFEX-Anuga Asia และ GULF FOOD
มาตรการที่ 18 จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่นผลไม้ไทย เช่น Country Brand ส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมมะพร้าวไทย
มาตรการที่ 19 จัดมหกรรมการค้าชายแดน 3 ภาค
มาตรการที่ 20 มุ่งเจรจาผ่านคลายมาตรการทางการค้า ทั้งการลดภาษี ลดอุปสรรคการส่งออกผลไม้ไปยังประเทศคู่ค้า
มาตรการที่ 21 ตั้งวอรูม คณะทำงานผลักดันการส่งออกผลไม้ไทย ภาครัฐร่วมกับเอกชน ติดตามสถานการณ์ ประสานงานแก้ไขปัญหาการส่งออกผลไม้ ผลักดันส่งออกไป 3 ตลาดศักยภาพ ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และ CLMV
มาตรการที่ 22 ให้ผู้ประกอบการปิดป้ายแสดงราคารับซื้อ เวลา 8.00 น. หรือทันทีที่เปิดทำการรับซื้อ กระทรวงพาณิชย์และจังหวัดยังคงบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ให้เกษตรกรขายผลไม้ที่มีคุณภาพ ได้ราคาดี ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ บังคับใช้กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าและกฎหมายชั่งตวงวัดโดยเคร่งครัด
ผลการประชุมวันนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรในจังหวัดแหล่งผลิตสำคัญได้เห็นด้วยกับมาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 66 เชิงรุกทั้ง 22 มาตรการ ซึ่งครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญและตรงจุด
เกษตรกรและภาคเอกชน ยินดีให้ความร่วมมือกันขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว จะเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการตลาดในประเทศและเพิ่มปริมาณ-มูลค่าการส่งออก ทำให้ราคาผลไม้ให้ดีตลอดทั้งฤดูการผลิตนี้ โดยในปีนี้กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายผลักดันการส่งออกผลไม้สดและแปรรูป 4.44 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อน 10%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม นายพสิษฐ์ สุขสวัสดิ์ เกษตรกรกลุ่มแปลงใหญ่มะม่วง จ.ลำพูน เห็นว่า อมก๋อยโมเดลที่นำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้เกษตรกรมีทางเลือกไม่ถูกกดราคา และนายธนกฤต ตันวัฒนากูล นายกสมาคมผู้ผลิตลำไยอบแห้งภาคเหนือ กล่าวว่า จากที่กระทรวงพาณิชย์ได้เข้ามาช่วยเหลือให้โรงอบมีศักยภาพในการอบแห้ง ทำให้ราคาตลอดทั้งฤดูอยู่ในเกณฑ์ดี เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 1,200-1,400 บาท/ราย หรือคิดเป็นมูลค่า 1,440 ล้านบาท
ด้าน นายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย กล่าวชื่นชมนายจุรินทร์ ที่ได้เดินทางไปตะวันออกกลาง เจรจาอำนวยความสะดวกการขนส่งผลไม้ในสามารถบรรลุข้อตกลงและนำมาขับเคลื่อนจนเป็นผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรวดเร็ว ทำให้การส่งออกผลไม้ไทยในปี 2565 ไปตะวันออกกลางและแอฟริกาขยายตัวขึ้น เป็นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาควบคู่ไปกับการขยายตลาดผลไม้
ขณะที่ นายไพบูลย์ วงศ์โชติสถิต ที่ปรึกษาสมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย ได้กล่าวถึงมาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 65 ของกระทรวงพาณิชย์ ตามนโยบายของนายจุรินทร์ว่า มีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาผลไม้ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก มีกำลังใจและมั่นใจว่ามีภาครัฐที่พร้อมจะดูแลแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด จึงขอให้คงมาตรการบริหารจัดการผลไม้ต่อไป
ข้อมูลจากกรมการค้าภายในระบุว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ โดยการนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้ทำงานเชิงรุก ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนบริหารจัดการผลไม้ผ่าน 18 มาตรการเชิงรุก รวมทั้งแก้อุปสรรคการส่งออก การปิดด่าน เร่งรัดส่งออกจับคู่ส่งผลไม้ออกนอกประเทศ ส่งผลให้สามารถรักษาระดับราคาผลไม้ในประเทศ ปริมาณผลไม้ส่งออกเพิ่มขึ้น แก้ปัญหาผลไม้ล้นตลาดได้
ทำให้ราคาผลไม้ปี 2565 เกือบทุกชนิดสูงกว่าปีที่ผ่านมา เฉลี่ยสูงขึ้น 44% เช่น ทุเรียนเกรดส่งออก ราคาเฉลี่ย 142.50 บาท/กก. ลำไย ช่อส่งออก AA ราคาเฉลี่ย 35-45 บาท/กก. มะม่วงน้ำดอกไม้เกรดส่งออก ราคาเฉลี่ย 45 บาท/กก. ลองกองเกรดคละ ราคาเฉลี่ย 26 บาท/กก. ซึ่งเกษตรกรและผู้ประกอบการได้ชื่นชมต่อมาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 65 โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่ประสบผลสำเร็จอย่างดี