บทความโดย : นายหัวอัทธ์
ผมได้ทำการประเมิน 10 ปีชาวนาไทยว่า มีรายได้ รายจ่าย และหนี้สินอย่างไร เป็นการวิเคราะห์ภายใต้ต้นทุนการผลิตที่แพงขึ้นรอบทิศทาง ปุ๋ยแพง น้ำมันแพง ไฟฟ้าแพง และนโยบายการเข้าช่วยเหลือเกษตรกรในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ผมขอเริ่มอย่างนี้ก่อนครับ ตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา การส่งออกข้าวไทยในตลาดโลก “ผันผวนอย่างมาก” ปี 2554 ไทยเป็นแชมป์ผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก ส่งออก 10 ล้านตัน ตามด้วยเวียดนาม 7 ล้านตัน และอินเดียเป็นอันดับที่สาม 4.6 ล้านตัน
ต่อมาปี 2555 และ 2556 ไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวให้กับอินเดีย 2 ปีซ้อน โดยไทยส่งออกเป็นอันดับที่สาม ต่อมาในปี 2558-2561 ไทยทวงแชมป์กลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง แต่หลังปี 2562 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน อินเดียคือแชมป์ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก
ปี 2565 อินเดียส่งออกข้าวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ 17 ล้านตัน ไทยเป็นอันดับสอง 7.5 ล้านตัน ตลาดหลักข้าวไทยคือ อาเซียน แอฟริกา (แอฟริกาใต้ เบนิน) ส่งออกมากกว่า 1 ล้านตัน ตามด้วยเอเชีย (จีน ญี่ปุ่น) อเมริกา และตะวันออกลาง สำหรับตลาดอาเซียน เป็นการแข่งกันระหว่างการข้าวไทยกับเวียดนามเท่านั้น โดย เวียดนาม คือ “แชมป์ส่งออกข้าวในตลาดอาเซียน”
ปี 2563-2564 เวียดนามส่งออกเกือบ 3 ล้านตัน แต่ไทยส่งออกไม่ถึง 5 แสนตัน ไทยเคยครองแชมป์ในปี 2561 (2.5 ล้านตัน) แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ไทยเสียแชมป์ให้กับเวียดนามมาโดยตลอด ตลาดหลักที่แข่งขันดุคือ อินโดนีเซีย ฟิลิปฟินส์และสิงคโปร์
เมื่อพิจารณา “รายได้ รายจ่าย และหนี้สินของชาวนาไทย 10 ปี” โดยเป็นการเก็บข้อมูลชาวนาที่ ต.ห้วยกรด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ผมได้มีโอกาสคุยกับ “คุณเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ (เฮียมืด)” และ “คุณวันเฉลิม สังคีต (ก๊อต) คุณชาตรี สุโช (ตี) และ "คุณสมคิด มณฑา" และต้องขอขอบพระคุณทั้ง 4 ท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก ๆ
ผลการเก็บข้อมูล “หนี้ชาวนา” ปัจจุบันพบว่าร้อยละ 70 ของชาวนาไทยเป็นหนี้ อยู่ระหว่าง 1-3 แสนบาท/ครัวเรือน หนี้ชาวนามี 2 รูปแบบคือ ในรูปเงินสดและมิใช่เงินสด หนี้เงินสดส่วนใหญ่เป็นหนี้กับ ธ.ก.ส. ส่วนหนี้ที่ไม่ใช่เงินสดเป็นหนี้ในร้านค้าขายวัตถุดิบทางการเกษตรของร้านค้าในจังหวัดที่เกษตรกรนำวัสดุทางการเกษตรมาใช้ก่อนจ่ายเงิน โดยร้านค้าจะบวกเงินเพิ่มระหว่าง 30-50 บาทแล้วแต่จะตกลงกัน และขึ้นกับประเภทวัตถุดิบทางการเกษตร
การเป็น “หนี้ชาวนาเกิดขึ้นมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา” ก่อนหน้านี้ย้อนหลังไป ชาวนาไม่เป็นหนี้มากขนาดนี้ ในขณะที่รายได้ รายจ่าย และเงินเหลือของชาวนาไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในปี 2555 ชาวนาไทยเฉลี่ยใน 1 ปีมีเหลือเงินหลังหักต้นทุนากรผลิต 29,035 บาท ในขณะที่ชาวนาเวียดนาม เหลือเงินในกระเป๋า 54,218 บาท และชาวนาเมียนมาเหลือเงิน 29,278 บาท หมายความว่าปี 2555 “ชาวนาไทยจนสุดในอาเซียน”
เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ว่ารายได้ รายจ่าย ชาวนาไทยจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง และเมื่อเทียบกับชาวนาเวียดนาม แตกต่างกันอย่างไร ผมพบว่าในปี 2566 ชาวนา (นาปรัง) เหลือเงิน 39,000 บาท แสดงว่า 10 ปีที่ผ่านมาชาวนาไทยมีเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นบาท (39,000-29,035) เฉลี่ยมีเงินเพิ่มขึ้นเดือนละประมาณ 900 บาท ในขณะที่ 10 ปีที่ผ่านมา ชาวนาเวียดนามมีเงินเหลือ 73,743 บาท ชาวนาเวียดนาม มีเงินเหลือ 19,526 บาท (73,743 -54,218) ) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเดือนละ 1,627 บาท
แสดงว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชวานาไทย “มีเงินเหลือเพิ่มและเหลือน้อยชาวนาเวียดนาม” ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะ 1.ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ไทยต่ำกว่าเวียดนาม 3 เท่า (ไทยเฉลี่ย 450 กก.ต่อไร่ เวียดนามมากกว่า 1 ตัน) 2.ความพร้อมแหล่งน้ำ ทำให้เวียดนามทำนาได้ 3 ครั้ง ไทยทำได้ 2 ครั้ง 3.ชาวนาอาชีพ กับอาชีพชาวนา ชาวนาไทยไม่ใช่ชาวนาอาชีพ แต่เวียดนามคือชาวนาอาชีพ เพราะชาวนาไทยคิดแค่ 2 เรื่องคือ “ราคา และผลผลิต ไม่คิดเรื่องการปรับลดต้นทุน” แต่ชาวนาเวียดนามคิด “3 ลด 3 เพิ่ม” 4.การกระจายพันธุ์ เพื่อควบคุมคุณภาพเวียดนามทำได้ดีกว่า