“ก้าวไกล” คาใจ งบจัดงาน "วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ" สูงเกินจริง

วันที่ 8 มิถุนายน 2566 นายกรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล เปิดแถลงข่าวที่พรรคก้าวไกล  แถลงข่าวเรื่องตั้งคำถามกระทรวงเกษตรฯ อนุมัติงบ “จัดงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ว่า มีความ“น่าสงสัย ซึ่งได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการจัดซื้อจัดจ้างไม่เหมาะสมมีความเร่งรีบจนผิดสังเกตในโครงการงานรณรงค์ถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตทางด้านการเกษตรเนื่องในวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2566

โดยมีรายละเอียดที่ได้รับจากพี่น้องประชาชน และข้าราชการในกรมที่ส่งมาให้มีข้อน่าสงสัยหลายข้อทีเดียว เริ่มจากการที่ เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2566 ซึ่งเป็นเอกสารของกรมการข้าวที่ได้รับมาจะจัดงานวันที่ 1-7 มิถุนายน 2566 ที่พิพิธภัณฑ์เกษตร คลอง 1 ที่จังหวัดปทุมธานี งบในครั้งนี้ตั้งไว้ครั้งแรก คือ 15 ล้านบาท นี่คืองบจัดงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ โดยคาดหวังว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมประมาณ 25,000 คน และโดยโครงการนี้เป็นแผนงบประมาณที่ใช้คำว่าสวยหรูก็คือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างความตระหนักรู้ การลดต้นทุน การผลิตข้าวให้กลุ่มเกษตรกร ซึ่งงบประมาณนี้ก็มีข้อสงสัยเช่นกันเป็นงบที่ทางกรมการข้าวได้ส่งคืน ธ.ก.ส. ไปแล้วใช่หรือไม่ (งบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท)

ตอนนี้ก็กลายมาเป็นงบจัดงานอีเวนท์ที่ถือว่าเป็นงานประจำปีของกรมการข้าว และต่อจากนั้นในวันที่ 19 เมษายน 2566ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้แผนงานเดิมของกรมไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนงานจากงานขนาดใหญ่ที่จะจัดที่คลอง 1 ปทุมธานีโดยใช้งบประมาณ 15 ล้านบาท ปรับลดลงมาจากวันที่ 1-7 มิถุนายน 2566 และย้ายมาจัดงานในกรมการข้าว ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เหลือเพียงแค่ 2 วัน ก็คือ วันที่ 5-6 มิถุนายน 2566 จากงบประมาณ 15 ล้านบาท เหลือเพียง 3 ล้านบาท กับการจัดงานเหลือ 2 วัน และนอกจากนั้นยังมีการจัดงานที่จะขยายไปส่วนภูมิภาคอีก 2 จังหวัด ก็คือ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดพิษณุโลก

โดยจังหวัดพิษณุโลกจะจัดในวันที่ 16-17 มิถุนายน 2566 โดยใช้งบอีก 1.5 ล้านบาท  และในจังหวัดนครราชสีมา จัดวันที่ 23-24 มิถุนายน 2566 โดยใช้งบ 1.5 ล้านบาท เช่นเดียวกัน และในการนี้จะมีการใช้งบประชาสัมพันธ์อีก 1.5 ล้านบาท ถ้าตัวเลขกลม ๆ จะใช้งบโดยประมาณ 7.5 ล้านบาท กับการจัดงานวันข้าวฯ ทั้งในส่วนกลางและในส่วนภูมิภาคอีก 2 แห่ง แต่เหมือนว่ากรมการข้าวจะกลัวว่างบที่ตั้งมา 15 ล้านบาทเปลี่ยนแปลงไปเกรงว่าจะน้อยเกินไป

ต่อมาได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 เมื่อไม่นานมานี้ในการที่จะเพิ่มวันที่จะจัดขึ้นในวันที่จัดที่กรุงเทพฯ จากวันที่ 5-6 มิถุนายน ได้เพิ่มมาอีก 1 วัน เป็นวันที่ 7 มิถุนายน โดยมีงบเพิ่มขึ้นในวันที่ 7 มิถุนายน เป็น 2 ล้านบาท เท่ากับว่าในการจัดงาน 2 วันแรก วันที่ 5-6 มิถุนายน ที่ตั้งงบไว้ 3 ล้านบาท ขยายงานเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน มาเป็น 5 ล้านบาท นั้นทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาทันทีว่าการเพิ่มปริมาณงาน 1 วันจากนิทรรศการที่เป็นงานวันครบรอบโดยใช้เงินของภาษีพี่น้องประชาชนเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ล้านบาทเป็นความเหมาะสมและคุ้มค่าเพียงใด

 

และที่สำคัญรายละเอียดในงานการจัดงานนิทรรศการและผลงานจากเดิมที่จัดงานวันที่ 5 และวันที่ 6 มิถุนายน ใช้งบประมาณ 4 แสนบาท เพิ่มมาอีก 1 วันกลับกลายเป็นว่า ใช้เงินเพิ่มจาก 4 แสนบาทเป็น 1 ล้านบาท และการเชิดชูเกียรติและแสดงผลงานชาวนากับสถาบันชาวนาเดิมที่จัดงาน 2 วันใช้งบ 1 แสนบาท เพิ่มมา 1 วัน เพิ่มเป็น 5 แสนบาท มีเงินเพิ่มจากส่วนนี้ค่อนข้างผิดสังเกต และการสาธิตนวัตกรรมเกี่ยวข้องกับแสดงวิถีชีวิตชาวนา จาก 1.5 แสนบาท ที่ใช้ในวันที่ 5-6 มิ.ย. แล้วเมื่อเพิ่มวันมาเป็นวันที่ 7 มิ.ย. งบตรงนี้เพิ่มมาถึง 6 แสนบาท จาก 7.5 หมื่นบาท รวมทั้งค่าอาหารกลางวัน ค่าอาหารว่างและค่ายานพาหนะ เพิ่มขึ้นเท่าตัว และที่สำคัญ เงินก้อนนี้ต้องไม่ลืมว่าเป็นเงินจากภาษีของพี่น้องประชาชนทุกคน

การตั้งงบประมาณอย่างน่าสงสัยทำให้ข้าราชการในกระทรวงเกษตรฯ และข้าราชการที่สังกัดกรมการข้าวเกิดความไม่สบายใจ และตั้งคำถามกับผู้นำหน่วยถึงการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส จึงทำให้เกิดการร้องเรียนมาที่พรรคก้าวไกลและอยากให้มีการตรวจสอบ และหลักฐานที่ได้ในระยะเวลาในการหาออร์กาไนเซอร์ หรือผู้จัดงานในงานนี้ก็เป็นไปอย่างน่าสงสัย เนื่องจากเป็นงานประจำปี ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กลายเป็นว่ามีการเชิญให้ผู้จัดงานเข้ามาเสนอราคา แทนที่จะเป็นการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ e-bidding ตามระเบียบของราชการ เพราะมีเวลาหลายเดือน ในการจัดเตรียมงานนี้

จากการตั้งข้อสังเกตมีผู้ถูกเชิญไป 4 ราย แต่มีผู้เสนอราคา 1 ราย และเป็น 1 รายที่เคยทำงานร่วมกับกรมการข้าวมาอย่างยาวนาน และได้งานนี้ไป อีกทั้งการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มาร่วมงาน รวมถึงการให้ความรู้ให้กับเกษตรกรแล้วประชาชนทั่วไปที่ใช้งบถึง 1.5 ล้านบาท ทางพรรคก้าวไกลและตนเห็นว่างบประชาสัมพันธ์เหล่านี้ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ตอบเจตจำนงของการใช้งบประชาสัมพันธ์ในการให้ความรู้กับเกษตรกรหรือประชาชนทั่วไปนวัตกรรมทางการเกษตรได้

ข้อเรียกร้องสำหรับกิจกรรมที่จะจัดในภูมิภาคอีก 2 แห่ง ที่พิษณุโลกและนครราชสีมา ก็เป็นออร์กาไนซ์เจ้าเดิมและเป็นข้อสงสัยจะมีการรื้อบอร์ดและอุปกรณ์ที่จัดงานที่กรุงเทพฯ ไปใช้ใน 2 ที่หรือไม่ เนื่องจากว่าทั้ง 2 ที่นั้นจะได้รับงบประมาณที่แยกต่างหากมูลค่าถึง 1.5 ล้านบาท/ที่ และมีงบประชาสัมพันธ์ร่วมกันตรงนี้ก็เป็นข้อสงสัยที่พรรคก้าวไกลจำเป็นที่จะต้องลงไปดูพื้นที่ในวันที่พิษณุโลกและนครราชสีมา จัดการเช่นเดียวกัน

ภายหลังที่ได้รับจากข้อมูลและไปลงพื้นที่ก็ไปพบกับบรรยากาศของงานจริง ตามทีโออาร์ใน 3 วัน ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคนสิ่งที่เห็นแทบจะไม่มีคนเข้ามาดูเลย และในงานเต้นท์ให้ออกร้าน และบริษัทที่จะนำเทคโนโลยีมาโชว์กัน รวมทั้งเต้นท์ใหญ่ด้วย แต่ก็จะมีบางช่วงที่จะเห็นในเพจของกรมการข้าว มีเกษตรกรจำนวนมาก ทางพรรคจึงได้ลงพื้นที่ไปสอบถาม รวมถึงได้มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ จ้างเกษตรกรมาร่วมงานเพื่อที่จะได้มีภาพในการที่จะนำเสนอให้ตรงวัตถุประสงค์การจัดงาน

 

 

 

เมื่อเดินไปสำรวจบรรยากาศในไม่มีคนเลย มีแต่เจ้าหน้าที่ของกรมการข้าวทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ตนได้เข้าไปสำรวจก่อนวันที่จะจัดงาน ก็คือ วันที่ 4 มิถุนายน สิ่งที่พบก็คือ รถกรมการข้าว เป็นรถขนอุปกรณ์บูธ ทั้งแบรนเนอร์และดอกไม้ ต้นไม้ แทนที่จะเป็นรถของผู้จัดงานหรือออร์กาไนซ์ฯ  จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงใช้รถของกรมการข้าว ซึ่งเป็นรถของหน่วยงานราชการมาขนอุปกรณ์ต่าง ๆ จัดงานในงานนี้ ทั้งที่มีงบประมาณ ถึง 5 ล้านบาทในการจ้างออร์กาไนเซอร์

นอกจากจะส่งเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ สิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องการสื่อสารไปถึงสังคมและหน่วยงานราชการ ก็คืองบประมาณจัดอีเวนท์ที่ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมมาดูงบแค่ 5-10 ล้านบาท ทำไมไม่ไปใช้งบ 100-1,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะดูเหมือนเล็กในกิจกรรมลักษณะนี้มีอยู่ทุกหน่วยงานของราชการไทย ปีหนึ่ง ๆ กับการจัดงานประชาสัมพันธ์เป็นหลักพันล้านบาท แล้วถ้าหากเราจัดสรรงบประมาณใหม่ให้เกิดประโยชน์ แข่งขันของประเทศได้จริง ๆ ในสภาสมัยหน้าของพรรคก้าวไกลจะไม่ยอมให้ใช้งบประมาณที่ไม่เกิดประโยชน์แบบนี้ขึ้นอีก

วันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะเลิกงบประมาณที่ไม่เหมาะสม ได้เวลาใช้งบและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน การที่ออกมาเรียกร้องและตรวจสอบไม่ใช่ทำหน้าที่แทนพรรคฝ่ายค้าน แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ในอนาคตที่จำเป็นที่จะต้องส่งสาส์นถึงข้าราชการที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ในอนาคตวัฒนธรรมองค์กรเดิม ในการจัดสรรงบประมาณแบบเดิมที่จะต้องใช้งบให้หมดก่อนที่จะสิ้นปีงบประมาณเพื่อเกรงกลัวว่าในการของบประมาณใหม่ครั้งหน้าจะถูกตัด ต้องให้หมดสิ้นไป จากนโยบายของก้าวไกลที่จะเซ็ตงบประมาณใหม่ให้เป็นศูนย์เพื่อให้เกิดการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพกับภาษีพี่น้องประชาชน ก็จะมีการดูงาน ประชุม สัมมนา เพียงเพื่อต้องการใช้งบประมาณให้หมดสิ้นในเวลานั้นๆ

ตอนนี้ประเทศไทยต้องการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงแค่ต้องการแก้ไขความผิดพลาดในอดีต แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงการใช้งบประมาณในอนาคตที่จะต้องใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะประเทศไทยเกิดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ข้อสงสัยในการทุจริตคอรัปชั่นมาอย่างยาวนาน ถึงเวลาที่รัฐบาลใหม่ และพรรคก้าวไกลจะเข้ามาร่วมมือกับประชาชนทุกคน รวมทั้งข้าราชการน้ำดีทุกคนที่จะมาร่วมกันแก้ไขเพราะเราเชื่อว่าในหน่วยงานราชการต่าง ๆ ยังมีข้าราชการน้ำดีที่อยากเห็นการทำงานที่โปร่งใส่ บริสุทธิ์ ยุติธรรม และสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับพี่น้องประชาชน