วิจัย SCB ชี้ราคาข้าวพุ่ง จ่อดันเงินเฟ้อไทยขยับ โจทย์หินท้าทายรัฐบาลใหม่

07 ก.ย. 2566 | 10:03 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ย. 2566 | 10:29 น.

แนวโน้มราคาข้าวโลกที่ไต่สู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 15 ปี จะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อ "เงินเฟ้อ" ของไทยในระยะต่อไป นับเป็นโจทย์ใหญ่ที่รอท้าทายให้รัฐบาลใหม่พิสูจน์ฝีมือ

 

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ราคาข้าวโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบ 15 ปี โดยเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทย ซึ่งถูกใช้เป็นราคาข้าวอ้างอิงในตลาดโลก ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 50.3% เมื่อเทียบกับเดือนส.ค.ปี 2565 มาอยู่ที่ 648 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 15 ปี โดยมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ

  1. นโยบายควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก
  2. ตลาดข้าวโลกเผชิญภาวะขาดดุล กดดันให้สต็อกข้าวโลกปรับตัวลดลง
  3. การกลับมาของปรากฎการณ์เอลนีโญ ที่อาจจะกระทบต่อผลผลิตข้าวของอินเดียและไทยในฤดูกาลผลิตหน้า

เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทย ที่ถูกใช้เป็นราคาข้าวอ้างอิงในตลาดโลก ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 50.3%

SCB EIC ประเมินแนวโน้มราคาข้าวโลกออกเป็น 2 กรณี ขึ้นกับความรุนแรงของเอลนีโญ และการดำเนินนโยบายส่งออกข้าวของอินเดีย คือ

  1. กรณีฐาน (Base case) เกิดเอลนีโญระดับรุนแรง และอินเดียระงับการส่งออกข้าวขาวและปลายข้าวไปจนถึงเดือน ต.ค.2567 แต่ยังคงอนุญาตให้มีการส่งออกข้าวขาวและปลายข้าวแบบรัฐต่อรัฐได้บางส่วน มีการส่งออกข้าวนึ่งเพื่อทดแทนข้าวขาวที่ถูกระงับส่งออกและมีการเก็บภาษีส่งออกข้าวนึ่ง
  2. กรณีรุนแรง (Severe case) เกิดเอลนีโญระดับรุนแรงมาก และระยะเวลาการระงับส่งออกข้าวขาวและปลายข้าวของอินเดียเท่ากับกรณีฐาน แต่รัฐบาลอินเดียไม่อนุญาตให้มีการส่งออกข้าวขาวและปลายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ พร้อมทั้งมีการระงับการส่งออกข้าวนึ่งเพิ่มเติม

"โดยในกรณีฐาน คาดว่า ราคาข้าวโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 35%YOY(เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว) ในช่วง ส.ค.-ธ.ค.2566 และเพิ่มขึ้น 15%YOY ในปี 2567 แต่หากเป็นกรณีรุนแรง คาดว่า ราคาข้าวโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึงราว 50%YOY ในช่วง ส.ค.- ธ.ค.2566 และเพิ่มขึ้น 36% YOY ในปี 2567" บทวิเคราะห์ ระบุ

ราคาข้าวโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากไทยมีการส่งออกข้าวไปตลาดโลกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 38.6% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด โดยในช่วง ส.ค.-ธ.ค.2566 ราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.6%YOY ในกรณีฐาน และเพิ่มขึ้น 42.5%YOY ในกรณีรุนแรง

ราคาข้าวโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในไทยปรับเพิ่มตามไปด้วย เนื่องจากไทยมีการส่งออกข้าวไปตลาดโลกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 38.6%

"ส่วนในปี 2567 คาดว่าในกรณีฐาน ราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.9% ส่วนกรณีรุนแรงราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 30.6% มาอยู่ที่ 14,663 บาทต่อตัน ซึ่งนับเป็นราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ของไทย" บทวิเคราะห์ระบุ

ทั้งนี้ คงปฎิเสธไม่ได้ว่า "ข้าว" เป็นอาหารหลักของคนไทย ดังนั้น ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไป เพราะข้าวเปลือกเป็นต้นทุนหลักในการผลิตข้าวสาร ทำให้ในช่วงที่ราคาข้าวเปลือกเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินเฟ้อไทยผ่านค่าใช้จ่ายผู้บริโภคเกี่ยวกับข้าว

ในระยะต่อไป คาดว่าผู้ค้าข้าวสารในประเทศจะเริ่มส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากอัตราการเพิ่มขึ้นสะสมของราคาข้าวเปลือกจะกลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นสะสมของอัตราเงินเฟ้อหมวดที่เกี่ยวกับข้าว ส่งผลให้กำไรของผู้ประกอบการหดตัว หากไม่มีการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภค
ในการจัดเก็บข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) จากกระทรวงพาณิชย์ ข้าวจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และมีสัดส่วนน้ำหนักอยู่ในตะกร้าเงินเฟ้อที่ราว 3.2% จากสัดส่วนสินค้าทั้งหมด ซึ่งในกรณีฐาน SCB EIC ประเมินว่า ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปี (ส.ค.-ธ.ค.66) 0.26% แต่ในกรณีรุนแรง เงินเฟ้อทั่วไปอาจเพิ่มขึ้นได้ถึง 0.37%

ในกรณีฐาน SCB EIC ประเมินว่า ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปี (ส.ค.-ธ.ค.66) 0.26%

SCB EIC มองว่า ผลกระทบต่อเงินเฟ้อดังกล่าวคำนึงถึงเพียงผลโดยตรงจากราคาข้าวที่มีผลต่อดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภค

แต่ในความเป็นจริงราคาข้าวที่เปลี่ยนแปลงไป จะมีผลต่อกลุ่มสินค้าหมวดอื่นด้วย (Second-round effect) โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าหมวดอาหารสำเร็จรูป (อาหารบริโภคในบ้าน และนอกบ้าน)

"SCB EIC ประเมินผลรวมจากราคาข้าวที่ปรับสูงขึ้น จะส่งผลต่อเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปี 0.45% และ 0.66% ในกรณีฐานและกรณีรุนแรง ตามลำดับ ในขณะที่ปี 2567 ราคาข้าวที่จะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไปของไทยเพิ่มขึ้น 0.38% ในกรณีฐาน และอาจสูงถึง 0.91% ในกรณีรุนแรง" บทวิเคราะห์ ระบุ

ดังนั้น ในภาพรวมราคาข้าวเปลือกที่จะทยอยปรับสูงขึ้นต่อเนื่องจากหลายปัจจัยดังที่กล่าวไป นับว่าเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้เงินเฟ้อทั่วไปของไทยเพิ่มสูงขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และในปี 2567

นับเป็นโจทย์ท้าทายหนึ่งในโจทย์แรก ๆ ด้านค่าครองชีพที่เป็นการบ้านรอต้อนรับรัฐบาลชุดใหม่อยู่