3 ปีหลังรัฐประหารในเมียนมา โดยพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ก่อรัฐประหารรัฐบาลนางอองซาน ซูจี (เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 64) สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในเมียนมาตามมามากมาย ขณะที่ล่าสุดกองทัพทหารเมียนมาต้องสู้รบอย่างหนักหน่วงกับกองทัพกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต้องการแยกตัวเป็นรัฐอิสระ ทำให้สถานการณ์ในเมียนมา ณ วันนี้ยังไร้ทางออก
นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เมียนมาได้เผชิญกับปัญหาที่ค่อนข้างหนักกว่าประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ต่อมามีการรัฐประหาร ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วง รัฐบาลได้ออกมาปราบปราม ทำให้เกิดการเสียชีวิตของประชาชน และชาติตะวันตกได้เข้ามาแทรกแซง ซึ่งการประท้วงได้แปรเปลี่ยนไปเป็นการออกมาต่อต้านรัฐบาล สร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของประเทศเมียนมาอย่างรุนแรงตามมา
ด้านการค้าระหว่างประเทศของเมียนมาได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก และจากเศรษฐกิจที่ถดถอย (ปี 2564 ที่เกิดรัฐประหารจีดีพีเมียนมาติดลบ 17.9% ปี 2565 ติดลบ 0.06% ปี 2566 ล่าสุดขยายตัว 2.5%) ทำให้ค่าเงินจ๊าตตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2565 ค่าเงินผันผวนอยู่ระหว่าง 1700-1800 จ๊าตต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ตกลงไปอยู่ที่ 4600 จ๊าตต่อดอลลาร์ ต่อมาได้มีการปรับตัวดีขึ้น
ปัจจุบันนี้อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืด อยู่ที่ 3500-3600 จ๊าตต่อดอลลาร์ ซึ่งยังคงสร้างความยากลำบากต่อประชาชนเมียนมาเป็นอย่างยิ่ง จากความมั่งคั่งของภาคประชาชน ได้หดหายไปเกือบ 3 เท่าตัว ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างจะรุนแรงมาก บางเดือนเคยกระโดดไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม แม้ค่าเงินจะปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้าง ค่าราคาสินค้า-บริการจะปรับสูงขึ้น แต่ก็ไม่สมดุลกับค่าของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอยู่ดี ขณะที่ค่าจ้างแรงงงานไม่ได้ปรับตัวตามค่าของเงิน หรืออัตราค่าครองชีพที่สูงขึ้น ดังนั้นความยากลำบากจึงตกอยู่ที่ประชาชน
ในส่วนของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หลังจากเกิดการแทรกแซงจากชาติตะวันตก ทำให้เกิดการถอนทุนเสียเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่การลงทุนใหม่ ๆ จะมีเพียงจากบางประเทศ ที่ยังคงความเป็นมิตรกับประเทศเมียนมา เช่น จีน และไทย แต่ก็เป็นส่วนน้อย
“การลงทุนของไทยและต่างชาติในเมียนมาในเวลานี้มีน้อย มีจีนและไทยที่ยังมีการขยายการลงทุน แต่ก็มีน้อยมาก โดยการลงทุนในสินค้าพื้นฐาน เช่น เกษตร ประมง คอนซูเมอร์โปรดักส์ยังพอไปได้ และที่รัฐบาลเมียนมาให้การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกเป็นพิเศษในเวลานี้คืออุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่จากสถานการณ์ในเมียนมาในเวลานี้ทำให้นักลงทุนถอนตัวมากกว่าเข้าไปลงทุนใหม่”
ทั้งนี้ในส่วนของบริษัทไทยที่เข้าไปทำธุรกิจการค้า และลงทุนในเมียนมาเวลานี้ บริษัทที่ทำธุรกิจการค้า การลงทุนในเมียนมาที่เคยมีมากกว่า 400 รายได้ทยอยถอนตัวออกมา เหลือที่ยังทำการค้า การลงทุนอยู่ราว 150 ราย โดยที่ถอนตัวออกมาส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในเมียนมา เช่น กลุ่ม ปตท. เครือซีพี SCG อิตาเลียนไทยฯ อมตะกรุ๊ป ยังคงรักษาฐานเพื่อรอโอกาสต่อไป
นายกริช กล่าวอีกว่า รายได้หลักของประเทศเมียนมาในอดีตได้จากการขายน้ำมัน อัญมณี หินหยก แร่ธาตุ สินค้าการเกษตรพื้นฐาน(ที่ยังไม่ได้แปรรูป) สินค้าประมง และการท่องเที่ยว เป็นหลัก แต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา การท่องเที่ยวเริ่มหดหาย การส่งออกลดน้อยถอยลง สินค้าการเกษตรมีเพียงไม่กี่ชนิดที่ยังคงมีประเทศคู่พันธมิตรที่ช่วยเหลือในการซื้อหาอยู่ แต่ตลาดใหญ่ยังคงเป็นการค้าชายแดนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีประเทศที่สามารถค้าชายแดนกับเมียนมาได้ไม่กี่ประเทศ เช่น ไทย จีน และอินเดีย เท่านั้น ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้ จึงอยู่ในช่วงที่ยากลำบากต่อประเทศเมียนมาเป็นอย่างยิ่ง
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าวว่า ธุรกิจไทยส่วนใหญ่ในเมียนมาได้หยุดและพับแผนการลงทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากไม่มีความแน่นอนทั้งนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคง และหากมีเงินดอลลาร์รัฐบาลให้ไปแลกถือเป็นเงินจ๊าตที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง กำลังซื้อในประเทศหดตัวลง ค่าครองชีพสูง และการลงทุนจากประเทศอื่น ๆ หยุดชะงัก
ทั้งนี้การลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ (FDI) ในเมียนมาเคยขึ้นไปสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558-2559 โดยอุตสาหกรรมที่ลงทุนสูงสุดคือ อุตสาหกรรมการผลิต และหลังรัฐประหาร FDI ในเมียนมาเหลือปีละ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหายไปกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วสัดส่วน FDI ในเมียนมา 70% เป็นการลงทุนด้านน้ำมัน รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมการผลิต มีบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลกที่ไปลงทุนในเมียนมา เช่น Voltalia (ฝรั่งเศส) POSCO (เกาหลีใต้) Chevron (สหรัฐฯ) ขณะที่ FDI จากเวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน เหลือศูนย์ ส่วน FDI จากสิงคโปร์ และไทยหายไปครึ่งหนึ่ง
ด้านผลกระทบด้านการค้าการค้าไทยกับเมียนมา ช่วง 3 ปีหลังเกิดรัฐประหารตัวเลขยังขึ้น ๆ ลง ๆ โดยปี 2565 การค้าไทย-เมียนมา มีมูลค่า 286,554.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.69% โดยไทยส่งออก 162,680.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.40% ไทยนำเข้า 123,873.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.75% และปี 2566 ล่าสุดการค้าไทย-เมียนมา มีมูลค่า 257,063.19 ล้านบาท ลดลง 10.29% โดยไทยส่งออก 151,882.78 ล้านบาท ลดลง 6.64% ไทยนำเข้า 105,180.42 ล้านบาท ลดลง 15.09%
“การปฏิวัติ หรือรัฐประหารที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในเมียนมา ไม่ว่าฝ่ายทหารหรือพลเรือนจะชนะ ความแตกแยกของชาติพันธุ์ต่าง ๆ จะยิ่งมีมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเมือง การปกครองและเศรษฐกิจของเมียนมาตามมา”
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3974 วันที่ 14 - 16 มีนาคม พ.ศ. 2567