เบรกรักษาการผอ.อคส. เรียกผู้ประมูลข้าว 10 ปี อันดับ 2 ต่อรองราคา

แหล่งข่าวกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ“ว่า วันนี้ ( 24 มิ.ย.) นายกฤษณรักษณ์ ใจดี รองผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ในฐานะรักษาการผู้อำนวนการองค์การคลังสินค้า ได้มีการประชุมกับคณะทำงานรับ-เปิดซอง ตรวจสอบเอกสารและคุณสมบัติผู้ยื่นซองเอกสารหลักฐาน และเสนอให้คณะทำงานฯ ทำหนังสือเชิญบริษัทที่มีการยื่นซองเสนอราคาประมูลข้าว 10 ปี อันดับที่ 2 ทั้ง 2 คลังสินค้า เพื่อให้เข้ามาเจรจาต่อรองราคาการประมูลเพิ่ม ได้แก่

1. คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) บริษัท สหธัญ จำกัด จังหวัดนครปฐม

2. คลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 (ข้าวหอมมะลิ 100%) บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด จังหวัดชัยนาท

อย่างไรก็ตาม คณะทำงานฯ ยังมีความคิดเห็นร่วมกันว่าเรื่องดังกล่าวคณะทำงานฯไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพราะไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการทำงานจึงไม่สามารถดำเนินการได้ จึงมีการเสนอให้ทางฝ่ายกฎหมายขององค์การคลังสินค้าพิจารณาว่าสามารถทำได้หรือไม่

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ได้มีการประชุมคณะกรรมการการเปิดซองประมูลข้าว  เพื่อพิจารณาและประกาศผู้ที่ชนะการประมูลข้าว 10 ปี แต่ในประชุมพบว่ามีการเปิดโอกาสให้บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด ยื่นซองเสนอราคาประมูลอีกครั้ง ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของ TOR ทำให้คณะกรรรมการเปิดซองประมูลข้าว ซึ่งมีตัวแทนจากหลายหน่วยงาน ไม่เห็นด้วย

ในที่ประชุมได้มีการทักท้วงว่า ตามที่ อคส. ได้ประกาศ TOR เรื่องการจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐเป็นการทั่วไป ในเงื่อนไข TOR ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ทาง อคส. จะเปิดให้บริษัทที่ผ่านคุณสมบัติ ทำการยื่นซองเสนอซื้อและเปิดซองเสนอซื้อในวันเดียวกัน  ซึ่งในวันดังกล่าวก็ได้บริษัทที่เสนอราคาสูงสุดคือ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด ที่ยื่นซองเสนอเฉลี่ย 19 บาทต่อกิโลกรัมทั้ง 2 คลัง มูลค่ารวม 286 ล้านบาท

การที่เปิดให้บริษัทเอกชนรายอื่นเข้ามายื่นเสนอราคาเพิ่มย้อนหลังถือว่าไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของ TOR และเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (กฎหมายว่าด้วยการฮั้ว) พ.ศ. 2542

โดยหากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีความผิดในมาตรา 10  คือเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคา รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฎแจ้งชัดว่า การเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.นี้ ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคา มีความผิดฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ มีบทลงโทษจำคุก 1 ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 องค์การคลังสินค้า ได้ออกประกาศใบคำแต่งตั้งคณะทำงานรับ-เปิดซอง ตรวจเอกสารและคุณสมบัติผู้ยื่นซองเอกสารหลักฐาน

โดยคณะทำงานฯ ประกอบได้ด้วย

1. นางสาววิรัลกาญจน์ ธัญทัตจิรเมธ บุคลากร ๗ หัวหน้างานศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต และบริการประชาชนส่วนงานประเมินผลและพัฒนาบุคคล สำนักทรัพยากรมนุษย์ องค์การคลังสินค้า เป็นประธานคณะทำงาน

2. ผู้แทนกองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 1 กรมการค้าภายใน เป็นคณะทำงาน

3. ผู้แทนกองบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศเป็นคณะทำงาน

4. ผู้แทนสำนักคดี องค์การคลังสินค้า เป็นคณะทำงาน

5. นางสาวกาญจนา วัฒนธำรงค์ นักวิเคราะห์แผนงาน ๗ รักษาการในตำแหน่งหัวหน้า ส่วนงานวางแผนยุทธศาสตร์ สำนักยุทธศาสตร์และงบประมาณ เป็นคณะทำงาน

6.  นายจิระพงศ์ วงศ์ไชยบูรณ์ นิติกร ๖ งานคดีและอื่นๆ ส่วนงานโครงการรัฐสำนักข้าว เป็นคณะทำงาน

7. นายชนะกิจ อร่ามรุณ พนักงานบริหารทั่วไป ๖ คณะทำงานและเลขานุการ งานคดีและอื่นๆ ส่วนงานโครงการรัฐสำนักข้าว เป็นคณะทำงาน

8. นายไชยวัฒน์ เอี่ยมอธิพงษ์ พนักงานการพาณิชย์ ๖ ผู้ช่วยเลขานุการส่วนงานข้าวหอมสำนักข้าว เป็นคณะทำงาน
และในวันที่ 4 มิถุนายน 2567 องค์การคลังสินค้า ได้ออกประกาศอำนาจและหน้าที่ของคณะทำงานรับ-เปิดซอง ตรวจเอกสารและคุณสมบัติผู้ยื่นซองเอกสารหลักฐาน ดังนี้

ดำเนินการรับซองเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้เสนอราคาซื้อข้าว
ตรวจสอบเอกสารหลักฐานและคุณสมบัติของผู้เสนอราคาซื้อข้าว
ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขในเงื่อนไข (TOR)
สรุปผลการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาซื้อข้าวและจัดทำประกศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและรายชื่อผู้มีสิทธิ ยื่นซองเสนอราคา
ดำเนินการอื่นๆ ตามที่ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้ามอบหมาย
ล่าสุด วันที่ 17 มิถุนายน 2567 องค์การคลังสินค้า ได้ออกใบประกาศเรื่องเพิ่มเติมอำนาจและหน้าที่ของคณะทำงานรับ-เปิดซองและต่อรองราคาข้าวในสต็อกของรัฐ ซึ่งมีใจความสำคัญดังนี้

สามารถดำเนินการต่อรองราคาให้ผู้เสนอราคาสูงสุดเสนอราคาซื้อเพิ่มเติมจากราคาเดิม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อรัฐ