วันที่ 23 กันยายน 2567 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออก สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และสมาคมโรงแรมไทย แถลงข่าวความคิดเห็นของหอการค้าฯ กับนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ และการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่ภาคธุรกิจไทยแข่งขันได้
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นโยบายเร่งด่วน ทั้ง 10 ข้อของรัฐบาลที่ออกมาถือว่าครอบคลุมทั้งประเด็นทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมุมมองของหอการค้าฯ เห็นด้วยกับหลายนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจที่ออกมา ก็ตรงกับแนวนโยบายที่หอการค้าฯ ได้เคยเสนอไว้ต่อรัฐบาลในช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ด้านมาตรการลดรายจ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นด้วยกับการนำสินค้าธงฟ้าเข้าไปช่วยลดภาระให้กับประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วม ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงิน 1 หมื่นบาท เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มเปราะบางทันที แต่มีข้อเสนอให้เพิ่มโครงการคูณสอง เพื่อดึงกำลังซื้อประชาชน โดยรัฐสนับสนุนกึ่งหนึ่ง
ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้สูง ต้องการให้นำมาตรการจูงใจทางภาษี เช่น Easy E-Receipt เข้ามากระตุ้นการจับจ่ายในช่วงที่เหลือของปี โดยใช้งบประมาณภาครัฐไม่มาก
ขณะเดียวกัน ส่วนมาตรการสำหรับผู้ประกอบการ เสนอให้เร่งแก้หนี้ ทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะหนี้ที่เป็นอุปกรณ์ทำมาหากินของผู้ประกอบการรายย่อย เช่น รถกระบะที่มีแนวโน้มถูกยึดสูง รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการเฉพาะเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มนี้ ให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ ส่วนหนี้นอกระบบ มีแผนเข้าพบกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพูดคุยและหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ ด้านการขยายตลาด ผู้ประกอบการอยากเห็นการทำงานเชิงรุกในตลาดตะวันออกกลาง ซาอุดิอาระเบีย จีน เวียดนาม และอินเดีย อยากเห็นการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ เร่งผลักดันการเจรจา FTA และเดินหน้าผลักดัน EEC ต่อเนื่อง โดยเร่งขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม พัฒนาระบบน้ำให้เพียงพอ และยกระดับ 10 เมืองสู่เมืองหลัก เพื่อกระจายความเจริญ ทั้งลงทุน ท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับนโยบายเฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่ม ได้เสนอให้มีการทำศูนย์ประสานงานสินค้าภาคเกษตร ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงความต้องการของตลาดกับสินค้าภาคเกษตรที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ ช่วยแก้ไขปัญหาสินค้าต่างประเทศทุ่มตลาดเข้ามายังประเทศไทย การส่งเสริม Green Industry ที่ไม่ใช่เฉพาะสินค้า แต่รวมถึงภาคการค้าและบริการ โดยเฉพาะ บริษัทใหญ่ที่มีความพร้อมสามารถเข้าไปช่วยผู้ประกอบการที่อยู่ใน Supply Chain ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนได้
อย่างไรก็ตาม ขอให้รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 และ 68 โดยเฉพาะงบการลงทุนและก่อสร้าง ซึ่งส่วนนี้จะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ และคาดว่าไม่เกิน 10 วันนี้จะมีการยื่นสมุดปกขาว โดยจะมีรายละเอียดในการแถลงข่าว กกร.อีกครั้ง
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 กรณีนับรวมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ให้เติบโตราว 3.8–4.3% โดยทั้งปีจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นอีก 0.2-0.3% และทำให้ภาพรวมจีดีพีในปีนี้เติบโตจากเดิมที่คาดไว้ 2.5% เป็น 2.6-2.8%