นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากการระดมสมองของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร พบว่า สาเหตุที่มูลค่าการตลาดของไทยยังเป็นรองประเทศอื่น เนื่องจากสินค้าสมุนไพรไทยส่วนใหญ่จะส่งออกในรูปของพืชสมุนไพร
ขณะที่ต่างชาติส่งออกในรูปของสารสกัด เช่น ไทยส่งออกกระชายดำไปยังประเทศจีน ขณะที่จีนได้นำกระชายดำไปสกัดให้เหลือแต่สารสำคัญ แล้วส่งออกเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่าพืชสมุนไพรถึง 4 เท่า
ทั้งนี้ ตลาดสมุนไพรทั่วโลกในปี 67 คาดว่าจะอยู่ที่ 14 ล้านล้านบาท ส่วนมูลค่าตลาดในประเทศคาดปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก อย่างไรก็ดีหากเทียบกับประเทศในเขตเอเชียตะวันออก ไทยยังเป็นรอง จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
สำหรับผลสำรวจดังกล่าว มาจากการที่กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร ส.อ.ท. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พร้อมทั้งสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
รวมถึงศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร สมาคมสหอุตสาหกรรมพืชกัญชงและกัญชา
สมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกว่า 15 รายได้ร่วมระดมสมองในหัวข้อ จุดคานงัดการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม เพื่อหาแนวทางการขับเคลื่อนสมุนไพรไทยและยกระดับโรงงานสารสกัดสมุนไพรไทยให้มีองค์ความรู้ สามารถสกัดสมุนไพรได้หลากหลายชนิดอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันสู่ตลาดต่างประเทศ
ผลจากการระดมสมองมีมติในความร่วมมือพัฒนาโรงงานสกัดสมุนไพร สู่การใช้สารสกัดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร / ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และการยกระดับมาตรฐานโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ได้มาตรฐาน GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานส่งออกระดับสากล
โดยมุ่งเป้ากลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับคนและสัตว์ 4 รายการ ที่เป็นจุดคานงัดและสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ใน 1-2 ปี ได้แก่ กระชายดำ ขมิ้นชัน กัญชง และ กระท่อม นอกจากนี้ ยังมีการต่อยอดประเด็น future food เช่น และ functional food หรือ พืชที่ให้พลังงานและโปรตีนสูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากไข่น้ำ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่อาหารทางการแพทย์ได้อีกด้วย
รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รองผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า ประเทศไทยมีพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพสูงแต่ยังขาดการส่งเสริมด้านการวิจัยเพื่อต่อยอด ธุรกิจสมุนไพรของไทยจึงยังคงอยู่ที่ธุรกิจต้นน้ำ ส่วนธุรกิจกลางน้ำ เช่น การลงทุนด้านโรงงานสกัด จะอยู่ในมือของต่างชาติ เช่นเดียวกับธุรกิจปลายน้ำ ที่อยู่ในมือต่างชาติเป็นหลัก
ดังนั้น สกสว. จึงได้เข้าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน เพื่อผนึกกำลังและต่อยอดให้สามารถยกระดับสมุนไพรไทย ซึ่งเป็นของดีของคนไทย ให้สร้างมูลค่าให้คนไทย ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
"เป้าหมายความร่วมมือครั้งดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการสมุนไพรไทย ที่ไม่เพียงแต่ผลักดันให้เกิดมูลค่าเพิ่มเป็นสารสกัด แต่ในอนาคตจะต่อยอดไปสู่การเข้าตำรับยา โดยในหน่วยงานที่ร่วมมือมีองค์ความรู้อย่างครบถ้วนในการวิจัยและพัฒนาที่ได้รับมาตรฐานจากนานาประเทศในการทดสอบการใช้ยาในคนและสัตว์ ซึ่งประเทศไทยถือว่ามีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในอาเซียน จึงควรนำจุดแข็งที่มีอยู่มาต่อยอดและพัฒนาพืชสมุนไพรของไทยให้เติบโตในระดับโลก"