เปิดมุมคิด แม่ทัพ‘มอนเดลีซ’  สร้าง Next Normal การทำงานโลกยุคใหม่

01 ก.ย. 2565 | 05:04 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ย. 2565 | 21:54 น.

ช่วงโควิด -19 ระบาดหนัก 1-2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่มีหลายองค์กรเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร เช่นเดียวกับ บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

ที่ได้แม่ทัพใหม่ “พลิษฐ์ อัครนันท์กรณิศ” หรือ “คุณเคน” เข้ามานั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่า มันเป็นเวลาที่ท้าทายอย่างมาก สำหรับผู้บริหาร ที่ต้องนำพาองค์กรผ่านวิกฤตไปให้ได้

เปิดมุมคิด แม่ทัพ‘มอนเดลีซ’  สร้าง Next Normal การทำงานโลกยุคใหม่

ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแบบไม่หยุดนิ่ง พร้อมปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามาขับเคลื่อนให้เกิดวิถีใหม่ในการใช้ชีวิตและวิธีทำงาน ผู้ที่ก้าวออกมายืนอยู่แถวหน้าพร้อมกับความสำเร็จได้ คือ คนที่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว เปิดใจเรียนรู้มุมมองใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว “คุณเคน” บอกเลยว่า มันเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับเขา แต่ด้วยความเชื่อที่ว่า ปลาเร็ว คือ ปลาที่รอด เขาจึงเร่งปรับมอนเดลิซทันทีที่เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2563

 

“เคน” ปรับกลยุทธ์ สร้างโอกาสใหม่ให้แก่ธุรกิจภายใต้นโยบาย “Empower People To Snack Right” เขาอธิบายว่า โควิด ทำให้ยอดขายของมอนเดลิซหายไปเยอะมาก วัฒนธรรมองค์กรก็เริ่มไม่เฮลตี้...

เปิดมุมคิด แม่ทัพ‘มอนเดลีซ’  สร้าง Next Normal การทำงานโลกยุคใหม่
อดีตธุรกิจมอนเดลิซ อิงกับสินค้าที่เป็นลูกอม และหมากฝรั่งมาก ก่อนปี 2561-2562 มีสัดส่วนกว่า 70% ของรายได้ของบริษัท เมื่อเจอวิกฤต ทำให้ยอดขายลดลงเรื่อยๆ เพราะคนไม่ออกมาพบปะสังสรรค์ ไม่มีการเดินทาง 

เขาอาศัยช่วงที่เป็นวิกฤตสร้างโอกาสด้วยการปรับพอร์ตโฟลิโอ หันไปโฟกัสที่สินค้าพวกบิสกิต ช็อคโกแล็ต และชีสมากขึ้น อาทิ OREO, แครกเกอร์ Ritz, ช็อกโกแลต Toblerone, Cadbury ทำให้ตอนนี้ บิสกิตมีสัดส่วนใหญ่ขึ้นเป็นอันดับสอง ตอนนี้ ลูกอมเหลือประมาณ 45% บิสกิตประมาณ 35% 
 

นอกจากปรับพอร์ตโฟลิโอสินค้า การกระตุ้นตลาดและการสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่ “เคน” โฟกัสและเดินหน้าชัดเจน เขาทำทั้งกิจกรรมส่งเสริมการขาย มีการออกสินค้าใหม่ๆ สินค้าที่สร้างสีสันกระตุ้นตลาด การออกแคมเปญ รวมถึงขยายช่องทางขายด้านอีคอมเมิร์ซ และการผนึกกับพันธมิตร สร้างโอกาสในช่องทางฟู้ดเซอร์วิส เช่นที่ได้เห็นในตลาดคือ การร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเมนูพิเศษของ ฟาสต์ฟู้ดและร้านอาหารต่างๆ เช่น การร่วมกับ สเว่นเซ่น แดรี่ควีน คริสปี้ครีม และอื่นๆ ซึ่งเขายังเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะนี้คือ ไวท์โอเชียน ที่สร้างทั้งยอดขาย การจดจำแบรนด์ และภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดี


ในมุมของการบริหารองค์กร ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งที่ “เคน” ให้ความสำคัญมากๆ เพราะทรัพยากรบุคคล คือ กำลังสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับองค์กร สิ่งที่เขาเริ่มทำก่อนเลยคือ การปรับรูปแบบการทำงานเป็น next normal สร้างพื้นที่ทำงานใหม่ ปรับเลย์เอาท์ เป็น work place of the future ทุกอย่างฟรีฟอร์ม พนักงานไม่มีที่นั่งประจำ ทำเป็นฮอตซีส ที่ใครมาก่อน ก็เลือกที่นั่งได้ก่อน ไม่มีห้องทำงาน ไม่ว่าจะผู้บริหารสูงสุดอย่างเขา หรือผู้บริหารระดับรองลงมา พื้นที่เปิดเป็นโอเพ่นสเปซทั้งชั้น 
 

พนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศจันทร์-ศุกร์ เข้างานแปดโมงเช้าเลิกงานห้าโมง เพราะช่วงสองปีกว่าๆ ที่ผ่านมา มันได้พิสูจน์แล้วว่า พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้ สามารถสร้างผลงานและเคพีไอที่ดีได้ชัดเจน ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากยอดรายได้ที่เติบโตถึง 7% ในปี 2564 และเชื่อว่า จะสามารถเติบโตได้อีก 5-6% ในปี 2565 
 

“ถ้าเราบริหารงาน based on trust  ใหัความไว้วางใจกับพนักงาน เราจะทำให้เขาเสริมสร้างวินัยตัวเองมากขึ้น มันพิสูจน์แล้ว ตอนนี้เราทำงานแบบไฮบริด ทำทั้งเฟสทูเฟส และนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสื่อสารเชื่อมต่อกัน”
 

“เคน” บอกว่า เขาพัฒนาโดยใช้หลัก 3C คือ Connect เป็นการ สร้างวัฒธรรมองค์กร พนักงานมีการคุยกัน Collaboration ประสานงาน และมีการเตรียมงาน ต้องคุยกับลูกค้าอย่างไร และ Create มีการทำเวิร์คช้อปร่วมกัน ด้วยบรรยากาศภายในออฟฟิศที่มีความผ่อนคลาย และการทำที่นั่งแบบฮอตซีส ก้ทำให้พนักงานได้ผู้คุยกันมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น
 

“เราไม่ได้ฟิคว่า จะต้องให้พนักงานเข้ามาวันนั้นวันนี้ เรามีความยืดหยุ่น เราให้โอกาสพนักงาน ได้หลีกเลี่ยงช่วงรถติด เพราะมันเสียเวลา และเสี่ยงกับโควิดที่ยังแพร่ระบาดอยู่ ก่อนเข้ามาออฟฟิศ ต้องกรอกแอป จองที่ จองโต๊ะประชุม ถ้าเต็มแล้วก็ไม่ต้องเข้ามา” 
 

แม่ทัพคนนี้ ยกเลิกการทำงานแบบไซโรต่างคนต่างทำมาเป็นแบบ One Term One Vision ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกัน ยอดขายต้องมา มาร์เก็ตแชร์ต้องได้ กำไรต้องถึงทุกคนมีส่วนร่วมผลักดัน ซึ่งผลงานที่ผ่านมาก็ดีขึ้น รายได้ดีขึ้น เป็นไปตามเป้า พนักงานมีความสุขมากขึ้น ปีที่แล้วมีทั้งการปรับเงินเดือน และโบนัส 
 

“เคน” ยังสรุปให้ฟังว่า ภายใต้การทำงานใน 3 พิร่า มอนเดลิสมี 3 พิร่า คือ 1. การสร้าง Growth จากพนักงานที่มี Growth Mindset ไม่ใช่แค่ทำเป้าเพิ่ม แต่ทำอะไรที่แตกต่าง มีทัศนคติที่ดี มีแพชั่น 2. Execution การดำเนินงาน ปรับกระบวนการขาย พัฒนาการกระจายสินค้าให้ดีขึ้น ทำให้สินค้าเห็นในสายตาของผู้บริโภคมากขึ้น และ 3. วัฒนธรรมองค์กร อันนี้ให้ความสำคัญมาก เพราะเชื่อว่า ถ้าวัฒนธรรมองค์กรไม่เฮลตี้ Growth กับ Execution มันจะไม่เกิด 
 

รูปแบบการทำงาน Next Normal ที่แม่ทัพท่านนี้ วางระบบ สร้างนโยบายการทำงานใหม่ ยืดหยุ่น และเชื่อใจในพนักงาน ไม่ต้องบังคับให้ทำโน้นทำนี่ พร้อมดึงเทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลักดันให้พนักงานของเขาเกิดทัศนคติที่ดี และในที่สุดแล้วคือ การสะท้อนออกมาที่ผลงาน ที่ทำให้องค์กรสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้จะเจอกับสารพัดวิกฤต

 

หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,812 วันที่ 25 - 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565