จนทำให้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) มองเห็นโอกาส จึงแยกบริษัทเพื่อทำธุรกิจนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยมี “พิชิตชัย วงศ์ปิยะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ทำหน้าที่ขับเคลื่อน
“พิชิตชัย” เล่าว่า จุดเริ่มต้นของไอ-เทล เกิดจากหนึ่งยูนิตในไทยยูเนี่ยน จนขยายมาตั้งบริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) และมีการปรับโครงสร้างเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2564 โดยไอ-เทล เน้นเจาะผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมเป็นหลัก
ปัจจุบันไอ-เทล เป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงไทย ที่เป็นบริษัทอับดับ 2 ของเอเชีย และติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกและยังเป็นเจ้าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียก อันดับที่ 4 ของกลุ่ม OEM ในตลาดโลกอีกด้วย
การก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดโลก “พิชิตชัย” บอกว่า กลยุทธ์หลักของ ไอ-เทล คือ การทำหน้าที่เป็นทั้ง Co-Developer และ Co-Creation ให้กับคู่ค้า โดยใช้ Pet-Centric เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางความยั่งยืนเช่นเดียวกับบริษัทแม่ โดยมี ESG ซึ่งได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) เป็นแนวทางปฏิบัติ
ความยากและความท้าทายของผู้นำ ในการทำหน้าที่ภายใต้เป้าหมายธุรกิจและกลยุทธ์ขององค์กร “พิชิตชัย” บอกว่า ต้องอาศัยการรับฟัง ต้องจริงจัง และทำจริง ไม่ใช่แค่เขียนเป็นหลักการในกระดาษแล้วจบ ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มไทยยูเนี่ยน รวมทั้งไอ-เทล ลงทุนกว่า 90 ล้านเหรีญสหรัฐ เพื่อสร้างซัพพลายเชนปลาทูน่าที่ยั่งยืน
“เรื่องของความยั่งยืน แบรนด์ชั้นนำของโลกให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนมาก เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่สิทธิที่จะทำให้ธุรกิจเราเติบโตได้ ไอ-เทล อยู่ในไทยยูเนี่ยน และไทยยูเนี่ยนก็มีความแข็งแรงด้านนี้ และมีแนวทาง เรื่อง SeaChange เป็นโปรแกรมความยั่งยืน ที่เรานำมาใช้”
อีกทั้งยังมี 4 หน่วยงาน ทั้งภายในไอ-เทล และในกลุ่มไทยูเนี่ยน ที่ทำหน้าที่คิดค้นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาด ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน และสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ ได้แก่ ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์, Globle Petcare Innovation, Global PetCare Innovation Center และ Business Development Innovation ซึ่งไอ-เทล ดำเนินการทุกส่วนไปพร้อมๆ กัน
ล่าสุด ไอ-เทล ยังลงทุนอีกเกือบ 50 ล้านบาท โดยจับมือร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จัดทำ i-Tail Cattery ศูนย์ปฏิบัติการทดสอบรสชาติอาหารแมว โดยกลุ่มแมวทดลอง ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปี 2565 และในมุมที่ตอบโจทย์ด้าน ESG ยังได้พัฒนาโปรตีนจากแมลง รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาโปรดักต์ที่เจาะกลุ่มสัตว์เลี้ยงในแต่ละช่วงวัย ซึ่งจะทำให้สัตว์เลี้ยงได้อาหารที่เหมาะสมและมีประโยชน์ทางโภชนาการอีกด้วย
“สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำให้สินค้าของเราดีและอร่อย การตั้ง i-Tail Cattery เราจะนำแมวหลากหลายสายพันธุ์เกือบๆ 50 ตัว มาทำหน้าที่ชิมอาหารที่เราผลิต ว่ามันอร่อย และเขาเลือกที่จะกิน อาหารที่ผลิตจะถูกหลักโภชนาการหรือไม่มันง่าย แค่เอาเข้าห้องแลปก็รู้ แต่การที่จะรู้ว่า แมวจะกินหรือไม่กิน เราเลือกที่จะทำศูนย์ i-Tail Cattery ที่จะเปิดปลายปีนี้”
จากรูปแบบการดำเนินธุรกิจ “พิชิตชัย” กล่าวว่า ไอ-เทลเติบโตขึ้นทุกปีเฌฉลี่ย 15% โดยปีที่แล้วสามารถปิดยอดขายได้ราว 1.45 หมื่นล้านบาท และครึ่งปีแรกของปีนี้ เติบโตไปแล้วทั้งยอดขายและกำไร 40%
นั่นแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์การขับเคลื่อนไอ-เทล ของซีอีโอคนนี้มาถูกทาง และเขายังคงเดินหน้าพัฒนาต่อเนื่อง ทั้งการขยายไปในตลาดที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐอเมริกา หรือยุโรป พร้อมการพัฒนาโปรดักต์ที่ตอบโจทย์การ Co-Developer และ Co-Creation กับคู่ค้า โดยไม่ลืมพันธกิจทางด้าน ESG ที่ช่วยให้การเติบโตขององค์กร เดินหน้าสู่ความยั่งยืนและมั่นคง
“พิชิตชัย” ย้ำเรื่อง ESG ว่า เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเจ้าของแบรนด์ เจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ต เขาสนใจ ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องมานำเสนอ ไอ-เทล ต้องการยกระดับความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง พร้อมทำหน้าที่เป็นต้นแบบ เพื่อให้เห็นว่าเราสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ และนี่คือความแตกต่างที่เราต้องทำ
หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,826 วันที่ 13 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565