นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังคงมีความผันผวน แต่ยังมีปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมพลังงานและโรงกลั่นอยู่บ้าง โดยความต้องการ นํ้ามันอากาศยานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของเที่ยวบินพาณิชย์ โดยเฉพาะในเอเชียที่มีอัตราการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยออยล์ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดประมาณ 50%
รวมถึงอุปสงค์ของนํ้ามันดีเซลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย ส่วนตลาดนํ้ามันเบนซินแม้ความต้องการใช้ยังคงเติบโต แต่อาจจะได้รับแรงกดดันจากอุปทานของโรงกลั่นใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการผลิตในปีหน้า ทำให้ค่าการกลั่นมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ และคาดว่ายังคงจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจโรงกลั่นในระยะยาว
จากปัจจัยดังกล่าว ไทยออยล์จึงพร้อมรับมือกับความท้าทาย และคว้าโอกาสในการเติบโตโดยกำหนดกลยุทธ์หลัก 4 ด้านในปี 2568 ได้แก่
1.การเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงกลั่น (Strengthen Refinery Business) และเร่งเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ซึ่งเป็นโครงการพลังงานสะอาดที่ถือเป็นกุญแจหลักในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับไทยออยล์ในระยะยาว รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement) เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและควบคุมต้นทุน
ความคืบหน้าก่อสร้างของโครงการในส่วนแรกเสร็จแล้ว และได้ทดลองเดินเครื่องจักรหน่วยกำจัดกำมะถันในนํ้ามันดีเซล (HDS-4) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อรองรับการผลิต นํ้ามันดีเซลมาตรฐาน Euro 5 ซึ่งสนับสนุนนโยบายการใช้นํ้ามันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นของภาครัฐในต้นปี 2567 ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างหน่วยผลิตต่าง ๆ
2.การขยายห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain Extension): มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ซึ่งภายใต้แนวทางการดำเนินงาน TOP for The Great Future ได้เดินหน้าศึกษาธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกับกลุ่ม ปตท. และพันธมิตรอื่น ๆ เช่น Bio surfactant, Blue หรือ Green Hydrogen, นํ้ามันอากาศยานชีวภาพ (Bio Jet),การดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS)
3.เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน (Financial Strength) : ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือให้อยู่ในระดับน่าลงทุน ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
4.ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน (Drive for Sustainability) : มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างคุณค่าให้กับสังคมและชุมชน ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการศึกษา การสร้างอาชีพ และการเข้าถึงสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล
นายบัณฑิต กล่าวว่า จากกลยุทธ์ทั้ง 4 ด้านนี้จะช่วยให้ไทยออยล์สามารถรับมือกับความท้าทายและบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้น และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง