sustainability

"โปรตีนจากคาร์บอนไดออกไซด์" ทางเลือกใหม่ ผลิตมลพิษน้อยกว่าเนื้อ 100 เท่า

    "โปรตีนจากคาร์บอนไดออกไซด์" อาหารทางเลือกใหม่ ผลิตมลพิษน้อยกว่าเนื้อสัตว์ 100 เท่า จากวิกฤตสู่จานอาหารยั่งยืน

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤต "ภาวะโลกเดือด" และ "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรง ผันผวน และคาดเดาได้ยากขึ้น เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่เร่งตัวขึ้น อุทกภัยที่รุนแรง และภัยแล้งที่ยาวนาน

 

สาเหตุหลักของปัญหาเหล่านี้มาจากการกระทำของมนุษย์ ทั้งการรุกล้ำพื้นที่ป่าเพื่อขยายเมืองและพื้นที่เกษตรกรรม การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมและการคมนาคม รวมถึงการจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยิ่งประชากรโลกเพิ่มขึ้น สถานการณ์ก็ยิ่งทวีความรุนแรง ทำให้ความท้าทายในการแก้ไขปัญหานี้ซับซ้อนยิ่งขึ้น

 

หนึ่งในตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนคือ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ แม้จะทราบถึงผลกระทบ แต่การบริโภคเนื้อสัตว์กลับไม่ได้ลดลง โดยมีการบริโภคราว 386 ล้านตันต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักวิจัยคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 เมื่อประชากรโลกสูงถึง 10,000 ล้านคน ความต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์จะเพิ่มขึ้นถึง 68% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและท้าทายระบบการผลิตอาหารของโลกอย่างมาก

 

ปัจจุบันมีการผลิตเนื้อสัตว์มากกว่าเมื่อ 50 ปีก่อนประมาณ 6 เท่า ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 1 ใน 4 ของทั้งโลก นอกจากนี้ พื้นที่ 1 ใน 4 ของโลกถูกใช้เพื่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ และ 1 ใน 3 ของพื้นที่เพาะปลูกถูกใช้สำหรับผลิตอาหารสัตว์ ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบอันมหาศาลของอุตสาหกรรมนี้ต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 

\"โปรตีนจากคาร์บอนไดออกไซด์\" ทางเลือกใหม่ ผลิตมลพิษน้อยกว่าเนื้อ 100 เท่า

 

ท่ามกลางวิกฤตนี้ "Solar Foods" บริษัทสตาร์ทอัปของฟินแลนด์ ได้คิดค้นนวัตกรรมที่น่าทึ่งอย่าง "โปรตีนจากคาร์บอนไดออกไซด์" หรือที่เรียกว่า "Solein" (โซลีน) นวัตกรรมผงแป้งสีเหลืองที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบถึง 60-70% โดยกระบวนการผลิตใช้เทคนิคการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศและการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่สร้างมลพิษ แต่ยังช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศอีกด้วย

 

  • ประสิทธิภาพที่น่าทึ่งของโซลีน

การผลิตโซลีน 1 กิโลกรัมใช้น้ำเพียง 10 ลิตร ซึ่งน้อยกว่าการผลิตถั่วเหลือง 250 เท่า และน้อยกว่าการผลิตเนื้อวัวถึง 1,500 เท่า นอกจากนี้ ยังใช้พื้นที่น้อยกว่าการทำปศุสัตว์แบบเดิมถึง 1.5 ล้านเท่า และใช้น้ำน้อยกว่า 15,000 เท่า ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของโซลีนในแง่ของการใช้ทรัพยากร

 

  • คุณค่าทางโภชนาการ

 "โปรตีนจากคาร์บอนไดออกไซด์" ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยโปรตีน 65% คาร์โบไฮเดรต 20-25% ไขมัน 5-10% และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ความหลากหลายในการใช้งานของโซลีนทำให้สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ขนมปัง พาสต้า ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่ม ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ในหลากหลายรูปแบบ

 

\"โปรตีนจากคาร์บอนไดออกไซด์\" ทางเลือกใหม่ ผลิตมลพิษน้อยกว่าเนื้อ 100 เท่า

 

  • ความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการผลิต

ความโดดเด่นอีกประการหนึ่งของเทคโนโลยีนี้คือความรวดเร็วในการผลิต โดยใช้เวลาเพียง 4 วันในการผลิตโปรตีนปริมาณเท่ากับที่ได้จากการเลี้ยงวัว 2 ปี นอกจากนี้ กระบวนการผลิตยังสร้างมลพิษน้อยกว่าการผลิตเนื้อวัวถึง 100 เท่า และน้อยกว่าการผลิตโปรตีนจากพืชถึง 5 เท่า

 

ทั้งนี้ สิงคโปร์ เป็นประเทศแรกในโลกที่อนุญาตให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากโซลีนในปี 2567 โดยได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารสิงคโปร์แล้ว การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของประเทศในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหาร และกระแสการใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย Solar Foods มีแผนในการขยายการผลิต โดยวางแผนที่จะผลิตโซลีนให้เพียงพอสำหรับอาหาร 50 ล้านมื้อต่อปีภายในปี 2025 และมีเป้าหมายที่จะขยายการผลิตไปทั่วโลก

 

แม้ว่านวัตกรรมนี้จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น การลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันกับแหล่งโปรตีนแบบดั้งเดิมได้ และการสร้างการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มการใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น โซลีนและนวัตกรรมอาหารที่คล้ายคลึงกันอาจเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต

 

นวัตกรรม "โปรตีนจากคาร์บอนไดออกไซด์" ร่วมกับแหล่งโปรตีนที่ยั่งยืนอื่นๆ เช่น เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงและโปรตีนจากพืชขั้นสูง อาจเป็นทางออกในการแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน เป็นตัวอย่างที่ดีของการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมอื่นๆ