ผมเป็นคนภาคเหนือ เหนือ…มาเลเซีย (ฮา) ครอบครัวมีฐานะอยากจน คือ เวลามีตังค์เราก็กินเผื่อหมา แบบว่า อิ่มจุกอกก็โยนให้หมาที่เฝ้ารอคิวแถวแหลมสมิหรากิน เราจ่ายเงินตามความอยาก ไม่ได้เก็บออม พอรายได้ขาดมือมันก็จน จึงยืนยันว่าเรามีฐานะอยากจน (ฮา)
กลางวันเรียนหนังสือ ตกค่ำผมแปลงกายเป็นสารถีปั่นสามล้อ งานนี้หากินลำบากเพราะว่าช่วงขาสั้น (ฮา) กว่าจะได้สักสามบาท ปั่นน่องปูดไป 7 กิโล ผมงกบ้างไม่งกบ้างแล้วแต่อารมณ์จะพาไป เคยมีขอทานคนไหนเขียนป้ายติดเอาไว้ข้างๆ ขัน เขียนให้อ่านออกชัดๆ ว่า “โปรดเจียมเนื้อเจียมตัวในการให้” (ฮา)
นิสัยส่วนตัวขนานแท้เป็นคนชอบปลีกวิเวก Guru สายจิตวิทยา จัดคนที่ นิยมซุ่มโป่ง เช่นนี้ว่าเป็นพวก Under Expression หมายถึง เชิงเขาน้ำแข็งใต้ผิวน้ำ คือ ขรึม ใครจะไปเชื่อว่ามีสมาชิกร่วมห้องผู้หนึ่งที่ครูจัดให้อยู่ห้องเดียวกับผมสามปีซ้อน ผู้นี้แกท้าชกผมทุกสัปดาห์ตั้งแต่ ม.ศ.1 จนถึง ม.ศ.3 (ฮา) ผมกลายเป็น ไอ้แหย เพราะแม่ขอไว้ว่า “พ่อกับแม่หาเงินไว้ซื้อกับข้าว ไม่ได้หาเอาไว้ประกันตัวลูกที่โรงพัก”
กลางปีที่ 3 ไอ้หยาม เขาก็เดินมาหยามผมถึงโต๊ะว่า “ไอ้ปอดแหก เมื่อไหร่จะนุ่งผ้าถุง มึงจะชกกับกูรึเปล่า!” ผมตั้งใจไว้แล้วว่าถ้ามาท้ากันบ่อยๆ คงต้องสอยกันบ้าง กะไว้ว่าถ้าวันใดมาท้าชกในชั่วโมงวิชาวาดเขียนผมจะสู้ เพราะครูที่สอนวิชาวาดเขียนเป็นเพื่อนพ่อผมเอง (ฮา) คนมันดวงตกจะโดนชกทะลึ่งมาท้าตรงฤกษ์ที่วางพอดี
เสียงหมัดไม่มีรูชกหน้าไปห้าครั้งได้ยินทั้งห้อง ครูก็วาดภาพบนกระดานไปสบายๆ สักครู่ก็หันมาถามเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรได้ว่า “มีอะไรกันเหรอ!” ทั้งห้องนั่งเงียบกริบเหมือนกับช็อคที่เกิดแลนด์สไลด์ยังไงก็ยังงั้น (ฮา)
บุคลิกผมเปลี่ยน อุปนิสัย จาก Under Expression เป็น Over Expression หมายถึง ทะลึ่งพรวดขึ้นสู่ยอดเขาน้ำแข็ง คือ คล่อง ขอยืนยันว่าฉากนี้เป็น อุบนิสัย คือ นิสัยที่อุบเอาไว้ (ฮา) อันที่จริงผมก็เป็นคนเฉยๆ ที่ไม่เคยเมินเฉย ที่ทนนิ่งเอาไว้ เพราะเกรงใจแม่และแช่แป้งรอคิวเปิดตัวในเวลาที่เหมาะสม
เคสนี้ชี้ให้รู้ว่า ไม่ควรประเมินแบบลวกๆ ว่า ไก่อ่อน ไม่มีเดือย ประกาศกันเลยให้หายข้องใจว่า ตั้งแต่วันโน้นจนมาจนถึงวันนี้ จอมกวนคนนั้นไม่เคยมาวอแวอีกเลย ผมได้ความสงบคืนมาแต่เสียราคาสายวัดไปหนึ่งจุด ไม่มีสิทธิ์จะสอนใครว่าให้ใจเย็นๆ แต่ทว่า ผมก็ยังมีสิทธิ์สอน E.Q. ได้ว่า จงอดใจอึดไว้ให้นานสุด (ฮา)
อีกหนึ่ง Expression คือ Normal คือ ปกติ หมายถึง ไม่รุกแต่ไม่ถอย ไม่รับแต่ไม่ปฏิเสธ นั่งตีขิมเล่นบนกำแพงไปเรื่อยๆ สถานการณ์ไม่เอื้อเฟื้อก็ไม่โชว์แร็บ บรรยากาศเข้าแก๊ปก็ขึ้นเวทีร้องเพลงโชว์ บุคลิกคนยุคใหม่ในบรรยากาศสวิงกิ้งแย่งชิงกันเป็นใหญ่ เอาตัวรอดมีแนวโน้มจะผลุบๆโผล่ๆ ด้วยฟอร์ม ปกติ! ไม่ออกอาการเข้าข้างใครแต่ก็ไม่ทิ้งสิทธิคนละครึ่ง (ฮา)
นักอักษรศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า บุคลิกถ้อยคำการพูดของ ภรรยา มักจะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร “W”
ภรรยา : Who “คุณนั่งดื่มกาแฟกับ ใคร” สามี : “ลูกค้ารู้จักกันเมื่อปี 2021”
ภรรยา : Why “ทำไมคุยกับเธอนานจัด” สามี : “เพราะเด็กเสิร์ฟเขาไม่ว่าง” (ฮา)
ภรรยา : When “จะนัดพรอดกันอีกเมื่อไหร่” สามี : “หลังจากคุณสอบสวนผมเสร็จ”
ภรรยา : Where “ปกตินัดพบกันที่ไหน” สามี : “เอาแน่ไม่ได้! ”
ภรรยา : Why “ทำไมถึงเอาแน่ได้” สามี : “ขึ้นอยู่กับคุณว่าวันนั้นคุณอยู่ที่ไหน” (ฮา)
ภรรยา : What “อะไรทำให้คุณดูแลดีปานนั้น” สามี : “เพราะเธอสวยเหมือนคุณเป๊ะ”
ภรรยา : “Wow…..!” เจอดอกท้ายสุดถึงกับร้อง ว้าว ไม่อุทาน โอ้โห กลัวจะเสียสถิติ “W” (ฮา)
การคุยแคล่วคล่องเชิงลบกะต้อนให้จนมุม เรียกว่า Negative Over Expression! พูดบ่อยๆ จะปริร้าวกันง่าย ใครไม่มีแฟนขอแนะให้จีบคนแอฟริกา เขาว่ากันว่าคนที่นั่นมีสติสัมปชัญญะสูงกว่าคนในภูมิภาคอื่นของโลก คาดว่าน่าจะเป็นเพราะอาฟริกาดั้งเดิมต้องต่อสู้กับสัตว์และผู้รุกรานจึงรู้จักระมัดระวัง
รากฐานของบุคลิก คือ สุขภาพกาย กับ สุขภาพจิต ที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้ล้วนขึ้นอยู่กับ 1 สายเลือด (“เลือดเนื้อเชื้อไข” อย่างเช่น เลือด เช่น โลหิตจาง เนื้อ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจ เชื้อ เช่น เอดส์ ไข เช่น ไขกระดูกฝ่อ) 2 การอบรมเลี้ยงดู (ตามใจ หรือ สอนใจ) 3 สิ่งแวดล้อม (ชุมชนขยัน หรือ ชุมชนขี้เกียจ) 4 บุพกรรม (ใจดีก็เฮงใจร้ายก็ซวย)
สุขภาพกาย กับ สุขภาพจิต ที่เป็นไปในวันหน้าย่อมขึ้นอยู่กับ 1 อาหาร (น้ำวิตามิน หรือ เหล้า) 2 อุตุ (โอโซน หรือ สูบบุหรี่) 3 จิต (อาย หรือ ด้าน) 4 นวกรรม (ใฝ่ดีก็เฮงใฝ่ร้ายก็ซวย)
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียวฉันใด บุคลิกเราก็ไม่ได้สร้างเสร็จภายในคืนส่งตัวฉันนั้น (ฮา)
ถ้าเห็นด้วยว่าหลักนี้มีความเป็นไปได้ ก็ช่วยนมัสการกดไลค์ถวายสาธุอนุโมทามิแด่คติธรรมท่านพระพุทธเจ้าด้วย