บุรุษผู้มีอายุยืนท่านหนึ่งเคยเล่าให้ผมฟังว่า ดร.เกริก มังคละพฤกษ์ เป็น “ผู้ใหญ่” ที่น่าเทิดทูนบูชาหนึ่งในนานาประการ ท่านมีอันซีนอยู่ฉากหนึ่งที่นับถือได้ว่าใจกว้าง น้อยนักที่จะมีซูเปอร์กูรูเปิดใจกว้างยอมรับแง่คิดของคนรุ่นลูก ว่า เป็นวาทะที่ทรงคุณค่า ขออภัยที่จำชื่อผู้เล่าไม่ได้เพราะผมจำชื่อผู้ชายไม่ค่อยแม่น (ฮา)
สมัยปู๊นจะมีนักขายเอ็นไซโคปิเดียรุกตระเวนตามหน่วยงานต่างๆ จนกระทั่งมีโอกาสมุดรั้วเข้าไปนั่งคุยกับท่าน ดร.เกริก มังคละพฤกษ์ นักขายสไตล์ข่มขืนลูกค้าก็พูดไปเรื่อยให้ลูกค้าเวียนหัว คล้ายกับงูที่เลื้อยเวียนโคนต้นไม้จนกว่าเหยื่อจะมองตามจนตาลายร่วงผล็อยลงมา (ฮา)
ท่านก็มีน้ำใจน้ำอดน้ำทนนั่งรับฟังจนกระทั่งนักขายพูดประโยคทองคำว่า “ท่านครับ เอ็นไซโคปิเดีย คือ ศูนย์รวมความรู้รอบโลก ความรู้ทำให้องอาจ!” วาทกรรมสะดุดใจท่านจึงถามว่า “คุณไปเอาประโยคนี้มาจากไหน” นักขายก็บอกท่านว่า “ผมคิดเองครับ”
ท่านพูดกับนักขายว่า “ผมสนใจสำนวน ความรู้ทำให้องอาจ มากกว่า เอ็นไซโคปิเดีย เรามาตกลงกันหน่อย ผมจะซื้อ เอ็นไซโคปิเดีย โดยจะขอสำนวน ความรู้ทำให้องอาจ เป็นของแถม จะเอามาใช้เป็นสโลแกนของ ม.เกริก คุณจะยกสำนวนชั้นครูนี้ให้ผมได้ไหม” นักขายยิ้มแป้นภูมิใจรีบขานรับฉับไวว่า “ได้เลยครับท่าน”
โรคเบาหวาน เล่นงาน คุณแม่ ท่านรำพึงว่าอยากจะกินทุเรียน ญาติผู้ใหญ่ขัดว่า “อย่าซื้อให้แม่กิน” พี่กับผมสุมหัวคุยกันว่า “ท่านจะอยู่จะไปวันไหนก็ไม่รู้ ก่อนจะไปให้ท่านกินสมใจอยากไปเลย” ผมก็ลักลอบไปซื้อมาให้ ท่านกินอิ่มแล้วยังอยู่ได้นานวันจนข้ามปี (ฮา)
ญาติผู้ใหญ่คิดตามหลักอายุรเวช ผมกับพี่คิดตามหลักจิตแพทย์ ผมเห็นด้วยเพราะ คุณแม่ ท่านเล่าให้ฟังไว้เป็นแนวทางนานแล้ว ก่อนยายจะสิ้นลมท่านรำพึง ว่า “อยากจะกินกล้วยหอม” ญาติคนสำคัญไปตลาดตามคำขอแต่เธอเดินกลับมามือเปล่า พี่น้องรุมกันถามว่า “ที่ตลาดไม่มีกล้วยหอมขายเหรอ” เธอก็บอกว่า “มีสิ...แต่มันขายแพงเกินไป!”
สมองคนเราสามารถที่จะคิดโน่นคิดนี่ภายใน 24 ช.ม.ได้ราว 12,000 ถึง 50,000 ความคิด ไม่อยากเชื่อว่าความคิดที่จะซื้อกล้วยหอมให้ยายกินก่อนสิ้นลม มันไม่งอกขึ้นมาใน 12,000 หรือ 50,000 นั้นเลย เธอน่าจะองอาจในการลงทุนมากกว่านั้น เพราะนั่นคือโอกาสสำคัญในการทำบุญที่หาได้ยาก (...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย…)
คนตะวันตกเขาเล่ากันมานานแล้วว่า ถ้าใครทำกระเป๋าเงินที่มีรูปเด็ก คือ ลูกหายไป ไม่ต้องตกใจไม่นาน ก็จะได้คืนมา ลูกหลานทั่วโลกควรถ่ายอาหารจานโปรดที่แม่เฒ่าจัดหามาให้ และควรถ่ายขนมสุดโปรดที่แม่เฒ่าชอบกินใส่เก็บไว้ในเป๋าตังค์ จะได้เตือนใจด้านมนุษยธรรมเผื่อไว้บ้าง
สมัยนี้คนมีปัญญาทางโลกเยอะแต่มีน้ำใจทางธรรมน้อยลง เขาอ้างได้ว่า “คนเราจะจำอะไรในเวลาเดียวกันได้ไม่เกิน 3 - 4 เรื่อง ของมันลืมกันได้” ถ้าวันนั้นผมนั่งอยู่ด้วยจะบอกยายว่า “คนไม่เคยเล่นการเมืองเขาไม่รู้หรอกว่ากล้วยนั้นสำคัญไฉน!” (ฮา)
นักจิตวิทยาสายหมากฝรั่ง เขาระบุว่า บุคลิกภาพ มีปัจจัยเบื้องหลังค้ำจุน 4 อย่าง คือ ความพึงพอใจ ความเป็นไปของระบบประสาท ความมีมโนธรรม ความเปิดกว้าง ผสานเข้ากันจนเกิดกริยา “การแสดงตัว!” นักจิตวิทยาไทยเรานี่ก็ใช่ย่อย วิธีการประเมินบุคลิกถี่ถ้วนเลิศลอยมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายสายหมากพลู (ฮา)
ท่านดูปลายน้ำก็สาวความกลับไปได้ถึงต้นน้ำ หลักที่ ม.แม่โจ้ พูดถึง คือ การพิจารณาบุคลิกท่าทางในการเดิน สามารถประเมินความน่าจะเป็นเบื้องต้นได้ใกล้เคียงว่าแต่ละคนมีนิสัยอย่างไร
O เดินตัวตรงมีจังหวะก้าวเท้าสม่ำเสมอ จิตใจจะหนักแน่น O เดินก้าวเท้าไม่แน่ไม่นอน มักจะเป็นคนเจ้าเล่ห์มีนิสัยคดโกง O เดินลากเท้า มักจะเกียจคร้าน O เดินเหลียวซ้ายแลขวาตลอดเวลา มักจะมีจิตใจโหดเหี้ยมขาดความเมตตาปราณี O เดินทีละย่างก้าว เป็นผู้รอบคอบ O เดินเบ่งอก มักจะมุทะลุ O เดินเอาศีรษะไปก่อน กริยาจะหยาบช้า O เดินลงส้นเท้า มักจะเอาแต่ใจตัวเอง หลักโบราณเหล่านี้ยังมีอีกเยอะ แต่พอแค่นี้เถอะไม่งั้นจะมีคนตกงานกันหลายคน เผลอๆ ผมเองนี่แหละที่จะเดินไปโน่นมานี่ลำบาก (ฮา)
ไม่มี Know ใดกระจอก ยกเว้น Know ลามก
Know Who เป็นผู้สร้าง Know How
Know How งดด้อยค่า Know Who
Know How เป็นตัวช่วย Know Who
Know Who งดแดกดัน Know How
รู้ Know เดียวไม่เลิศหรูเท่ากับรู้ Know นานา
กูรูญี่ปุ่นเขาตั้งข้อสังเกตว่า คนมีใบหน้าที่แตกต่างกันสามแบบ หน้าแรก คือ การตั้งใจแสดงให้สังคมเห็น หน้าที่สอง คือ การวางตัวกันเองกับคนสนิทวงในเท่านั้น หน้าที่สาม คือ นิสัยดิบที่ซ่อนเร้นไม่ให้ใครเห็น
นักเลงรุ่นพ่อเคยคุยทีเล่นทีจริงกับผมว่า ลองไปทำวิจัยตามส่องสไนเปอร์ หรือคนที่เคยทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตดูสิว่า เขามักจะกระพริบตาน้อยกว่าคนทั่วไป และมีแววตากระด้างเยือกเย็น มันจริงหรือเปล่า ถ้าใช่เขาคงจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือไม่ก็เป็นมือปืน ผมไม่ขอยืนยันว่าจริงหรือไม่จริงฟังแล้ว ก็ได้แต่นิ่งคิดอยู่ในใจว่า การสันนิษฐานข้อนี้ต้องใช้วิจารณญาณ อย่าเพิ่งเอาไปกล่าวขานไม่งั้นจะเกิดการวิวาทแล้วไปจบลงในที่วิเวกหีบแคบๆ (ฮา)