หลังจากมีเวลาว่างไปเที่ยวเมืองท่องเที่ยวบางแห่ง เช่น จังหวัดกระบี่ และ ภูเก็ต ที่มีแต่เที่ยวบินต่างๆ ขึ้นลงแบบรันเวย์ไม่มีเวลาจะหยุดนิ่ง ก็อดที่จะรู้สึกสะท้อนใจกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลที่เอาแต่ได้ และไม่สนใจผลกระทบต่อสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด
ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าการท่องเที่ยวเป็นสิ่งเดียวที่โดดเด่นในการหารายได้เข้าประเทศ และทั้งเป็นสิ่งเดียวที่ทำรายได้หลักให้แก่ธุรกิจ SMEs และผู้ใช้แรงงานระดับล่างของไทยทั้งประเทศ เมื่อใดที่การท่องเที่ยวถดถอยเป็นขาลง เศรษฐกิจของประเทศแทบจะหมดสภาพ เห็นกันมาแล้วเมื่อ 3-4 ปี นี้เอง
นักการเมืองและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต่างก็วาดฝันกันใหญ่โตคิดว่าปีนี้จะให้นักท่องเที่ยวเข้าไทยทั้งปีถึง 30 ล้านคน ใกล้ปีสูงสุดที่เคยมีถึง 40 ล้านคน ก่อนที่โรคระบาดโควิด-19 จะมาเยือน ทำให้ปลื้มใจเป็นยิ่งนัก กับตัวเลขนักท่องเที่ยว และรายได้เข้าประเทศที่จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น นักการเมืองบางคนก็คิดทำโครงการใหญ่ขึ้นมาซึ่งเป็นโครงการที่ดีบ้างเลวบ้าง จริงๆ เป็นโครงการที่ได้คิดกันมาหลายรอบเป็นสิบยี่สิบปีมาแล้ว แต่ถูกเก็บเข้าลิ้นชักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้วทั้งนั้น มีการรองบประมาณบ้างซึ่งก็ไม่มีมาสักที เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับทุกจังหวัดในทุกรัฐบาล แล้วประชาชนที่คอยให้รัฐบาลมาสร้างสิ่งที่ดีๆ ต่อจังหวัดของตนเองได้บ้างจะไปพึ่งใครดี
ผมจะขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งถือได้ว่า เป็นเมืองท่องเที่ยวของไทยที่ติดอันดับโลก มีเที่ยวบินจากต่างประเทศขนนักท่องเที่ยวเข้ามาต่อวันมากที่สุด ในเดือนธันวาคมนี้เดือนเดียว สายการบินระหว่างประเทศมาลงภูเก็ตแล้วถึง 6,212 เที่ยวบิน หรือวันละ 200 เที่ยวบิน
นักท่องเที่ยวมามาก โรงแรมแน่นขนัด แต่การจราจรที่เลวสุดๆ แบบนี้เป็นผลโดยตรงมาจากการเอาแต่ได้ของรัฐบาล แต่ไม่ใส่ใจทำ ไม่ใส่ใจจะดูแลความเดือดร้อน ของทั้งนักท่องเที่ยว และประชาชนพื้นบ้านที่อยู่ในจังหวัดของตนมานาน ซึ่งต่างไม่ได้รับการดูแลจากข้าราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ไม่ต้องมาถามผมนะครับว่า วันๆ ข้าราชการที่รับผิดชอบงานแต่ละด้านเขาใช้ชีวิตอย่างไรกัน เขาได้ทำงานรับใช้ประชาชนแค่ไหนบ้าง
ต่อไปนี้จะขอพูดถึงปัญหาหลักและเรื้อรังของภูเก็ต
1. ปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหานี้เกิดมานานแล้ว แต่ในปีนี้ทุกคนรวมทั้งนักท่องเที่ยว และเจ้าของกิจการต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภูเก็ตรถติดหนักมาก
นักท่องเที่ยวระดับเศรษฐีชอบตีกอล์ฟมาพักโรงแรมดีแถวกะตะ บอกว่าไม่สนุกเลยที่ต้องขับรถจากโรงแรมไปสนามกอล์ฟ แต่ก่อนใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่เดี๋ยวนี้ชั่วโมงครึ่ง ตีกอล์ฟแค่ 4 ชั่วโมงครึ่ง แล้วขับรถกลับโรงแรมอีกชั่วโมงครึ่ง มันเป็นอะไรที่ไม่สนุกอีกแล้ว
ปัญหารถติดหนักในภูเก็ต ไม่ใช่เพราะถนนแคบรถรามาก แต่จริงๆ มากกว่านั้น เพราะแทบทุกคนที่ทำงานในภูเก็ต มีรถส่วนตัวใช้ แม้กระทั่งพนักงานเสิร์ฟของโรงแรมกว่าครึ่ง มีรถส่วนตัวใช้กันทั้งนั้น แต่ปัญหาใหญ่ของจราจรติดขัดไม่ได้มีแค่นี้ แต่มีอีกมากที่คนของรัฐในประเทศนี้ มองเห็นแต่ปัญหาตื้นๆ แต่ปัญหาลึกจริงๆ เขามองไม่เห็นกันเลย
เมืองท่องเที่ยวในยุโรปและในญี่ปุ่นทุกเมือง เขาจะจัดบริเวณที่แขกนิยมไปเที่ยวทุกแห่ง ยิ่งในเมืองก็จัดไว้ให้ นั่นคือ การจัดที่จอดรถบัสบริเวณค่อนข้างกว้าง เพื่อให้รถบัสนำนักท่องเที่ยวไปลง และรับกลับ
แต่ที่ภูเก็ตเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ทั้งรัฐบาลกลางและท้องถิ่นเขาไม่รู้จักเรื่องแบบนี้เลย รู้แต่เก็บเงินและรีดไถอย่างเดียว อย่างเช่น รถบัสคืนละหลายคันพาแขกมาเที่ยว “ถนนบางลา” ที่เป็นถนนคนเดินเต็มทั้งคืนที่หาดป่าตอง รถบัสมากมายที่รับนักท่องเที่ยวเต็มคันรถ จะจอดรถข้างถนนแล้วปล่อยคนลงครับ
รถบัสคันยาวและใหญ่คืนละมากๆ แค่จอดข้างถนนแคบๆ รถก็ติดกันเป็นตังเมอยู่แล้ว แล้วถ้ามาดูการจัดรถของตำรวจบ้านนอก บางสายในป่าตองเขาให้จอดรถทั้งสองข้างทางในถนนสองเลนที่แคบ รถที่วิ่งในเส้นถนนสองร้อยปีบางส่วนวิ่งได้แค่เลนเดียว ทุเรศมากๆ อย่างนี้เรียกว่าภาครัฐไม่ใส่ใจโดยแท้
หลายคนถามว่า เมืองภูเก็ตรถติดขัดขนาดนี้ ตำรวจจราจรไปอยู่ไหนกัน ไม่ค่อยมีให้เห็นเลยไม่ว่าที่ไหน เวลาไหน คำถามนี้ตอบไม่ยากขอให้มาดูกันเองดีกว่า แต่บ่อยครั้งจะเห็นพวกเขาตั้งด่านตามจุดตรวจกันเป็นกลุ่ม 5 – 6 คน ยิ่งทำให้จราจรติดขัดเข้าไปอีก
สงสัยจริงๆ ลองหยุดแอบดู ปรากฏว่า ด่านเหล่านั้นเงินสดสะพัดครับ ยิ่งชาวต่างประเทศที่ชอบเช่ารถจักรยานยนต์ คนขับขี่มีทั้งใบขับขี่และหมวกกันน็อคยังต้องบ่นเลยว่าทำไมไอต้องถูกปรับด้วยละ
2. ปัญหาสถานที่ท่องเที่ยวสกปรกเละเทะ ปัญหาสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละเขตเทศกาลในภูเก็ตสกปรก เละเทะ ไม่งามตา การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานเอาแต่หาเงิน แต่ไม่ใส่ใจในการจัดสถานที่ท่องเที่ยวของตนให้ดูน่าเที่ยว ให้ต้นไม้ และหาดทรายขาว ดูสวยงามรับกับทะเลสีครามที่เด่นมากในโลกแห่งหนึ่ง ทำไม ทำไมท้องถิ่นแทบทุกเขตเทศบาลเป็นกันอย่างนี้ คำตอบคงครือๆ กันกับการบริหารส่วนกลาง ที่รัฐบาลกุมอำนาจอยู่ คือ ไม่ใส่ใจเหมือนกัน
แค่สองเรื่องนี้ ถ้าปล่อยปละละเลยไปเรื่อยๆ รัฐบาลเอาแต่ได้อย่างเดียว อีกหน่อยการท่องเที่ยวในเกาะไข่มุกแห่งอันดามันของไทยนี้ก็จะเสื่อมสลายแน่ เชื่อผมเถอะครับ
ขณะที่ของประเทศอื่นเขามีแต่ปรับตัวดีขึ้น แต่ของเรากลับรักษาของดีไว้ไม่อยู่ เพราะการขาดการใส่ใจของผู้ที่บริหารประเทศ ความเสื่อมสลายของการท่องเที่ยวไทยคงจะเห็นได้ในอีกไม่นาน
เมื่อภาวะกู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่นของรัฐบาลและข้าราชการเกิดขึ้น ลักษณะที่ว่า “ไม่เห็นหีบศพไม่หลั่งน้ำตา” คงมีให้เห็นแน่