ธุรกิจครอบครัวเป็นเสาหลักสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ด้วยบทบาทในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในวงกว้าง อย่างไรก็ตามผลกระทบของการมีส่วนร่วมของครอบครัวต่อประสิทธิภาพของธุรกิจ ยังคงเป็นประเด็นที่นักวิชาการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง งานวิจัยบางชิ้นระบุว่ามีผลกระทบในเชิงบวกต่อประสิทธิภาพของบริษัท
ขณะที่บางงานวิจัยกลางชี้ให้เห็นถึงผลกระทบในทางตรงกันข้าม ซึ่งความขัดแย้งของผลการวิจัยเหล่านี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของธุรกิจครอบครัว ที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยหลักเหตุผลทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับการรักษา “ความมั่งคั่งทางสังคมและอารมณ์” (Socioemotional Wealth) ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และผลลัพธ์ขององค์กรอีกด้วย
การศึกษาเชิงลึกในเกาหลีจากงานวิจัยชื่อ “The Dark Side of Managing for the Long Run: Examining When Family Firms Create Value” โดย Kyuho Jin, Joowon Lee, และ Sung Min Hong ได้วิเคราะห์บทบาทของครอบครัวในธุรกิจ โดยใช้ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนใน KOSPI ระหว่างปีค.ศ. 2013-2016
การศึกษานี้ใช้เทคนิคทางเศรษฐมิติขั้นสูงเพื่อลดปัญหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุแบบ endogenous และนำเสนอการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของครอบครัวในการบริหารธุรกิจ การวิจัยพบข้อค้นพบที่น่าสนใจดังนี้
1. ข้อเสียของธุรกิจครอบครัว ธุรกิจครอบครัวมักให้ความสำคัญกับเป้าหมายทางอารมณ์และสังคม มากกว่าเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เช่น การรักษามรดกและอัตลักษณ์ของครอบครัว หรือการส่งต่อธุรกิจไปยังรุ่นต่อไป ซึ่งอาจกระทบต่อผลกำไรในระยะสั้น
นอกจากนี้ปัญหาการแต่งตั้งสมาชิกในครอบครัวที่ขาดคุณสมบัติเหมาะสม (Nepotism) อาจทำให้ประสิทธิภาพขององค์กรลดลง รวมถึงการยึดติดกับค่านิยมและวิธีการเดิมๆ ทำให้ธุรกิจขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการเติบโต
2. บทบาทของ CEO คนใน (Inside CEOs) บทบาทของซีอีโอคนในมีความสำคัญในการลดผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของครอบครัว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ธุรกิจมีเสถียรภาพ ซีอีโอคนในมักมีความเข้าใจในวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และกระบวนการภายในองค์กรอย่างลึกซึ้ง ทำให้สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างความไว้วางใจและความภักดีในองค์กรได้ดี ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมีเสถียรภาพและความมั่นคงในการดำเนินงาน
3. บทบาทของ CEO คนนอก (Outside CEOs) ในช่วงที่ธุรกิจเผชิญความผันผวนหรือความไม่แน่นอน บทบาทของซีอีโอคนนอกมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถนำมุมมองใหม่ เครือข่ายภายนอก และกลยุทธ์ที่หลากหลายมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยองค์กรตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งซีอีโอคนนอกยังไม่ผูกพันกับครอบครัว ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างเป็นกลาง ลดอคติในกระบวนการตัดสินใจ และช่วยให้ธุรกิจปรับตัวต่อความท้าทายใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
4. ความสัมพันธ์ระหว่างความผันผวนทางธุรกิจและประสิทธิภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างความผันผวนทางธุรกิจและประสิทธิภาพขององค์กรขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ในช่วงที่ธุรกิจมีเสถียรภาพ ซีอีโอคนในมักบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความเข้าใจในโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กร
ในขณะที่เมื่อธุรกิจเผชิญความผันผวน ซีอีโอคนนอกจะมีความสามารถในการช่วยให้องค์กรปรับตัวได้ดีกว่า ด้วยมุมมองใหม่ๆ และเครือข่ายที่กว้างขวาง ทำให้สามารถตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
งานวิจัยนี้เผยให้เห็นบทบาทและความซับซ้อนของครอบครัวในธุรกิจ โดยเน้นว่าธุรกิจครอบครัวควรเลือก CEO ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ใช้ Inside CEOs ในช่วงที่ธุรกิจมีเสถียรภาพเพื่อบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ Outside CEOs ในช่วงที่ธุรกิจเผชิญความผันผวนเพื่อดึงมุมมองใหม่มาช่วยปรับตัว
นอกจากนี้ควรสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจและความต้องการของครอบครัว โดยแยกบทบาทของสมาชิกครอบครัวออกจากการบริหาร ส่งเสริมการพัฒนาทักษะผู้นำผ่านการฝึกอบรมและคำแนะนำจากที่ปรึกษาภายนอก พร้อมกำหนดบทบาทหน้าที่ให้ชัดเจน สร้างระบบตรวจสอบที่ยืดหยุ่น และส่งเสริมการสื่อสารที่โปร่งใสเพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจและเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาวต่อไป
ที่มา: Jin, K., Lee, J., & Hong, S. M. (2021). The dark side of managing for the long run: Examining when family firms create value. Sustainability, 13(7), 3776
ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.famz.co.th.