การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร ที่มีไทม์ไลน์ให้จบ แบบสะเด็ดนํ้า แต่ต้องคัดกรองชื่อกันอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะเรื่องจริยธรรม ไม่ให้ซํ้ารอย คดีของ “เศรษฐา ทวีสิน” แต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี
ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานไว้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) บัญญัติว่า ผู้จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้อง มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม เรื่องของชื่อชั้น เก้าอี้รัฐมนตรี เสนอเข้ามาไม่น่ามีปัญหา เพราะส่วนใหญ่เป็นคนหน้าเดิมๆ แต่จะเปลี่ยนแปลงบ้าง คงไม่แปลก เพราะเป็นเรื่องของเกมการเมือง เพียงแต่ขอให้ร่วมมือ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ไปข้างหน้า
ที่รอไม่ได้เพราะรอมานานคือ ปากท้องประชาชน กับนโยบายเรือธง แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ รัฐบาลเศรษฐา จนถึงรัฐบาลแพทองธาร
ล่าสุดชัดเจนแล้วว่า “เดินต่อ” แปลงโฉมเป็น “แจกเงินสด” ผ่านบัญชี- บัตรประชารัฐ สำหรับกลุ่มเปราะบาง หรือ กลุ่มฐานราก
หากจะให้รอโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อย่างแลนด์บริดจ์ 1 ล้านล้าน “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ฯลฯ
อีกหลายปีกว่าจะเห็นผล หรือ อาจเดินไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่เรื่องนโยบายประชานิยม หรือ การแจกเงิน ถึงมือประชาชนระดับฐานราก เป็นเรื่องจำเป็น และหลายประเทศทำอยู่ แม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา
เพราะปัญหาปากท้องรอไม่ได้ และเป็นหัวใจของคะแนนเสียงเพื่อไทย อีกทั้งยังมีกระแสว่า นอกจากกลุ่มเปราะบางแล้วยังมี นโยบายแจกเงินผ่านกลุ่มคนทำงาน แต่จะรูปแบบไหนต้องรอความชัดเจนช่วงแถลงนโยบายต้นเดือนกันยายน ด้วยงบประมาณเพิ่มเติมปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท
และอีกก้อนจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ยืนยันว่า ได้มีการตั้งงบกลางฯ ในปี 2568 เป็นรายการ การกระตุ้นเศรษฐกิจไว้แล้ว 1.52 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นอำนาจของรัฐบาลสามารถเสนอโครงการอื่นๆ ได้
หากไม่ผิดวัตถุประสงค์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งขั้นตอนการจัดทำงบประมาณปี 2568 อยู่ในขั้นพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
เรียกว่าเริ่ม “ยิ้มออก” แล้วสำหรับประชาชนกลุ่มฐานราก