มวยรอบพิเศษนัดหยุดโลกเมื่อวานนี้ระหว่าง “นวัธ เตาะเจริญสุข” ส.ส.ขอนแก่นสังกัดพรรคเพื่อไทย กับ “ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อส.ส.จากค่ายเดียวกันซัดกันเละจึงเกิดเป็นประเด็น
ในรายงานห้องข่าวเศรษฐกิจ NEWSROOM ช่วง ลึกแต่ไม่ลับ กับ บากบั่น บุญเลิศ ตอน เบื้องลึก “ไทยไฟท์เบิร์ดกะโหลกส.ส.โจ้” ซึ่งออกอากาศทางเนชั่นทีวีช่อง 22 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.30 น.-11.50 น. เทียบฟอร์มของ 2 คู่ชกในครั้งนี้ไว้ ดังนี้
นายนวัธ เตาะเจริญสุข หรือ เสี่ยเตาะ เดิมชื่อ ประเสริฐ เตาะเจริญสุข เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2510 อายุ 51 ปี เป็นส.ส.ขอนแก่นสังกัดพรรคเพื่อไทย มีชื่อเสียงจากการซื้อกิจการ บจก.แม็กซ์มวยไทย เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแต่สร้างฐานะและมีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่น เข้าสู่สนามการเมืองเริ่มจากการเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ขอนแก่น และรองนายกฯ อบจ.ขอนแก่น ลงสมัครส.ส.ครั้งแรกเมื่อปี 2548 สังกัดพรรคมหาชนแต่แพ้การเลือกตั้ง ต่อมาในปี 2550 ได้ลงสมัครส.ส.ในนามพรรคพลังประชาชนและชนะการเลือกตั้ง ปี 2554 และปี 2562 ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ขอนแก่นสังกัดพรรคเพื่อไทย นายนวัธและคู่สมรสยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) รวมทั้งสิ้น 35.9 ล้านบาท
ส่วนนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร หรือ “เสี่ยโจ้” ก็ไม่ธรรมดา เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2515 อายุ 47 ปี ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นคนมหาสารคามโดยกำเนิด เป็นลูกเจ้าของโรงสีข้าวแหลมทอง เริ่มเข้าสู่ถนนการเมืองเมื่อปี 2544 ชิงเก้าอี้ ส.ส.มหาสารคามได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งนับตั้งแต่ครั้งแรกสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกเป็น ส.ส.มหาสารคามในปี 2554 และปี 2562 ตามลำดับ มีบทบาทในการตรวจสอบการทุจริตจนได้ฉายา “จอมแฉ” สร้างชื่อในปีแรกด้วยการตรวจสอบที่ดินเขาแพงของ “นายแทน เทือกสุบรรณ” ลูกชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งกลายเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้นายยุทธพงศ์ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายยุทธพงศ์ และคู่สมรสยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อป.ป.ช.รวมกันที่ 28.5 ล้านบาท
ส่วนสาเหตุของการวางมวยของส.ส.ค่ายเดียวกันในครั้งนี้นั้น มีข้อมูลระบุว่า ทั้งนายนวัธ และนายยุทธพงษ์นั้น “กินใจ” กันมาตั้งแต่วันประชุมพรรคเพื่อไทยเพื่อสรรหาผู้สมัครส.ส.เขต 7 จังหวัดขอนแก่นซึ่งมีแนวโน้มจะเปลี่ยนตัวผู้สมัครจากเดิมที่เป็นนายนวัธ เนื่องจากนายนวัธถูกดำเนินคดีจ้างวานฆ่านักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่งซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ได้สร้างความไม่พอใจให้กับนายนวัธที่กระโดดถีบ ว่าที่ผู้สมัครที่คาดว่าจะมาลงสมัครในเขตเดิมของตน ท่ามกลางบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในการประชุมวันนั้น กระทั่งนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นต้องเข้าห้ามปรามแต่นายนวัธก็ไม่ยอมหยุด นายภูมิธรรมต้องต้องขอให้ “ว่าที่ผู้สมัครคนใหม่” เดินหนีออกไปแทน
มาปะทุขึ้นเมื่อนายนวัธ ส.ส.ขอนแก่นพรรคเพื่อไทยลุกขึ้นอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ระหว่างการพิจารณา สรุปแนวทางการพิจารณาศึกษาเรื่องการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน ซึ่งนายยุทธพงษ์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการขยายสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) ชุดนี้ด้วย โดยนายนวัธ กล่าวตอนหนึ่งว่า มีข่าวลือทั้งสภาว่า กมธ.บางท่านมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องการต่อสัมปทานครั้งนี้ ร้อนถึง นายยุทธพงษ์ ในฐานะ กมธ.เสียงข้างมากต้องลุกขึ้นปกป้องศักดิ์ศรี พร้อมกับท้านายนวัธด้วยว่า ถ้ามีหลักฐานก็ให้ไปดำเนินคดีกับผู้นั้นเลย พร้อมยืนยันว่า กมธ.ชุดนี้ทำงานไม่มีใครคดโกง พร้อมเหน็บกลับไปถึงคดีความส่วนตัวของนายนวัธ
เรื่องไม่จบอยู่ที่ห้องประชุมรัฐสภาเมื่อนายนวัธ เก็บความเดือดดาลมาระเบิดที่ห้องนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อนายนวัธพาชายฉกรรจ์ 2 คนไปล็อกตัวนายยุทธพงษ์และตบหัวไป 1 ที กระทั่งมีส.ส.ที่อยู่ในห้องมาช่วยกันพาตัวนายนวัธและชายฉกรรจ์ออกไปจากห้อง
ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฉากหน้าที่สังคมรับรู้รับทราบแต่เบื้องลึกของเรื่องนี้มีมากกว่านั้น ตอนหนึ่งในรายการนายบากบั่นตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เป็นเรื่องของผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลอย่างชัดเจน จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ในการประชุม กมธ.ส.ส. พิจารณารายงานศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า(บีทีเอส) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ได้มีมติเสียงข้างมากเห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนระหว่าง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) เพื่อยุติข้อพิพาทที่มีการประเมินมูลค่าสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท ที่ กทพ.ต้องจ่ายให้เอกชน แต่มีมติไม่เห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ (BTS) ที่จะหมดสัญญาลงในปี 2572 ต่อไปอีก 40 ปี
“เรื่องราวของผลประโยชน์เมกะโปรเจค คือ ฉากหลังที่แท้จริงของเบื้องหน้าแม็กมวยไทยโซ้ยกับพี่โจ้ ณ มหาสารคาม” นายบากบั่น กล่าว