ข้อมูลจาก e-Conomy SEA 2019 พบว่านับตั้งแต่ปี 2558 - 2562 ยอดขายของตลาดอี-คอมเมิร์ซเติบโตขึ้น 62% ปัจจัยที่ทำให้ตลาดดังกล่าวโต มาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อของผ่านออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ยอดจัดส่งพัสดุโดยรวมมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นกว่า 4 ล้านชิ้นต่อวัน ทำให้ธุรกิจขนส่งพัสดุของไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องราว 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
แนวโน้มการเติบโตที่เกิดขึ้น ทำให้ อินเว้นท์ (InVent) โครงการธุรกิจร่วมลงทุนภายใต้บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมลงทุนกับ นินจาแวน (Ninja Van) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ระดมทุนรอบ Series D ได้เงินลงทุนกว่า 279 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 8,370 ล้านบาท ซึ่งการระดมทุนในครั้งนี้นอกจาก InVent แล้วยังมีนักลงทุนอื่นๆ ร่วมทุนด้วย เช่น GeoPost SA และ Grab
ดร.ณรงค์พนธ์ บุญทรงไพศาล หัวหน้าโครงการบริษัทร่วมทุนอินเว้นท์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถือเป็นก้าวสำคัญของอินเว้นท์ในการลงทุนด้านโลจิสติกส์ ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ทั้งในไทย และต่างประเทศ ซึ่งนินจาแวนเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกขั้นตอนของการขนส่งให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และช่วยในการขับเคลื่อนทางธุรกิจ
“อินเว้นท์ คาดหวังว่าการร่วมทุนในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการทำธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ให้สามารถขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มยอดขายได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมมาซื้อของผ่านออนไลน์กันมากขึ้น ถือเป็น new normal ที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ และ e-commerce ทั้งในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ด้านนายวีรชัย ชูสกุลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นินจาแวน ประเทศไทย กล่าวว่า นินจาแวนยินดีที่ได้ทางอินเว้นท์มาเป็นหนึ่งในนักลงทุนครั้งนี้ โดยหวังว่าการร่วมมือกันครั้งนี้จะสามารถเตรียมและพัฒนาบุคลากรของเพื่อรองรับตลาดอี-คอมเมิร์ซ ที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งนําเสนอบริการขนส่งที่สะดวกสบายและเข้าถึงง่ายของให้กับธุรกิจประเภทอื่นๆ เช่น SMEs ขนาดย่อมไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"เราเชื่อว่าตลาดโลจิสติกส์ยังมีอีกหลายจุดที่สามารถใช้ระบบเทคโนโลยีมาช่วยในการขนส่งเพื่อให้การทํางานนั้นง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น และนินจาแวนจะขอเป็นขนส่งและตัวช่วยที่ส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”
นายวีรชัย กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนพัฒนาธุรกิจว่า นอกจากการพัฒนาประสิทธิภาพการขนส่งให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ นินจาแวนทั้ง 6 ประเทศ ยังมุ่งสร้างระบบนิเวศ ด้วยบริการใหม่ Ninja Direct ที่เป็น one stop service สำหรับ SMEs ทั้งการขนส่งในประเทศ การสั่งซื้อสินค้า รวมถึงการเปิดโอกาสทางธุรกิจสู่อาเซียน นอกเหนือจากนี้ นินจาแวนจะขยายโซลูชั่นการขนส่งให้ครอบคลุมธุรกิจแบบ B2B และองค์กรอื่นๆ เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยอำนวยความสะดวกของทุกขั้นตอนในการขนส่ง
สำหรับ นินจาแวน ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ ในปี 2557 โดย Lai Chang Wen ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมใน 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย โดยนินจาแวน ประเทศไทย เน้นการให้บริการที่ใช้โซลูชันโลจิสติกส์ที่ทันสมัยเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจ โดยมีบริการเรียกเข้ารับพัสดุแบบ smart pickup ผ่านทางแอปพลิเคชัน Lineman เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับร้านค้า โดยนินจาแวนใช้ระบบการเชื่อมต่อระบบการจัดการโลจิสติกส์กับธุรกิจ e-commerce เพื่อจัดรถเข้ารับพัสดุให้ทันภายใน 90 นาที ทำให้การขนส่งรวดเร็ว
ในด้านของการคัดแยกและการส่งพัสดุถึงปลายทาง ขั้นตอนนี้ พนักงานสามารถทำการสแกนและคัดแยกได้อย่างง่ายดายแค่ยิ่งบาร์โค้ดบนตัวกล่องพัสดุก็จะแสดงปลายทางจัดส่ง ซึ่งจะช่วยลดเวลาการคัดแยกได้ และนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทำให้พนักงานจัดส่งสามารถรับมือกับปริมาณพัสดุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่มีข้อผิดพลาดในการจัดส่ง
ในส่วนของปลายทาง ผู้ส่งสามารถเช็คการจัดส่งสินค้าได้โดยใช้โซลูชั่นที่พัฒนาขึ้นโดยนินจาแวนในการติดตามและวางแผนการจัดส่งพัสดุแบบ real time ทำให้ทั้งผู้รับและผู้ส่งสามารถทราบได้ทันทีว่าพัสดุของคุณกำลังอยู่ในขั้นตอนไหนและบริการเก็บเงินปลายทางเพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้า