หลังจากธุรกิจต้องปิดบริการไปนานกว่า 3 เดือน จากผลกระทบของโควิด-19 ล่าสุด “เดอะ รีเจ้นท์ กรุ๊ป” พร้อมเปิดดำเนินการอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ มีการจัดทัพในการดำเนินธุรกิจใหม่ บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ เพื่อสร้างจุดขายใหม่ ภายใต้ “รีเจ้นท์ บีช” อ่านได้จากสัมภาษณ์ นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่ม บริษัท เดอะ รีเจ้นท์ กรุ๊ป
ทยอยกลับมาเปิดธุรกิจ
จากมาตรการล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้ ที่ภาครัฐสั่งให้ปิดธุรกิจโรงแรมในพื้นที่ชะอำ-หัวหิน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ทำให้เราต้องหยุดบริการไปตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.2563 และเมื่อรัฐบาลคลายล็อก ก็ทำให้เราพร้อมกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง
โดย โรงแรม รีเจ้นท์ ชะอำ หัวหิน และ โรงแรม รีเจ้นท์ ชาเลต์ หัวหิน ได้กลับมาเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. 2563 ขณะที่โรงเรียนการโรงแรมและท่องเที่ยว รีเจ้นท์ ชะอำ จะกลับมาเปิดทำการเรียนการสอน ในวันที่ 15 ก.ค.นี้
การกลับมาเปิดโรงแรมอีกครั้ง จะดำเนินการภายใต้มาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งนอกจากโรงแรมจะได้รับตราสัญลักษณ์ AMAZING THAILAND SAFETY AND HEALTH ADMINISTRATION หรือ SHA จากภาครัฐแล้ว เรายังมีโครงการ Regent Clean & Care ที่จะเสริมความมั่นใจให้แก่ลูกค้าเพิ่มขึ้นไปอีกในทุกขั้นตอน ทั้งการทำความสะอาด การให้บริการบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า ก็จะแบ่งเป็นรอบๆ เพื่อรักษาระยะห่าง มีพนักงานตักอาหารให้ลูกค้า รวมไปถึงการรักษาสุขอนามัยในการให้บริการของพนักงานที่ต้องสวมหน้ากาก และเฟซชิลด์
“ต้องยอมรับว่าโชคดีที่โลเคชั่นของโรงแรมอยู่ในจุดที่สามารถขับรถมาเที่ยวได้ ก็ทำให้คนกรุงเทพฯขับรถมาเที่ยวได้สะดวก และยังมีลูกค้าที่เป็นกรุ๊ปคนไทย ที่เกี่ยวกับธุรกิจขายตรง ที่นำคนที่ขายสินค้าได้ตามเป้าหมาย เดินทางเข้ามาเที่ยวด้วย แต่บุ๊กกิ้งคนไทยส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่วงวีคเอนท์ แต่วันธรรมดา คนก็ไม่เดินทาง ก็ได้แต่หวังว่านโยบายที่นายกรัฐมนตรี จะให้หน่วยงานของรัฐ จัดประชุมสัมมนาในประเทศช่วงวันธรรมดา ก็น่าจะพอช่วยการท่องเที่ยวในยามนี้ และมาตรการกระตุ้นไทยเที่ยวไทยของรัฐบาล คือ โครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ก็จะช่วยกระตุ้นการเดินทางเที่ยวในประเทศ”
ทุ่ม1.2 พันล.ผุดรร.ใหม่
นอกจากนี้เรายังได้จัดทัพธุรกิจใหม่ บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ติดชายหาด ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน ให้อยู่ภายใต้ “รีเจ้นท์ บีช” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพดูแลที่ดิน ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 โรงแรม คือ โรงแรมรีเจ้นท์ ชะอำ หัวหิน และโรงแรมรีเจ้นท์ ชาเลต์ หัวหิน ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 36 ปี และอยู่ระหว่างสร้างโรงแรมใหม่ที่จะใช้ชื่อว่า “วาลา หัวหิน-นู แชปเตอร์ โฮเทล” ลงทุนราว 1,200 ล้านบาท (รวมที่ดิน) บนพื้นที่ 24 ไร่ ที่จะสร้างห้องพัก 97 ห้อง ในจำนวนนี้จะเป็นพูลวิลล่า 13 หลัง ซึ่งจะเป็นโรงแรมระดับลักชัวรี ที่เป็นสมาชิก SMALL LUXURY HOTELS of the world คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนก.ย.นี้
อีกทั้งเรายังได้สร้างจุดขายใหม่ ในโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว โดยในส่วนของโรงแรมรีเจ้นท์ ชะอำ หัวหิน ก็มีการพัฒนาโซนใหม่ ที่เรียกว่า Family Wing โดยมีห้องพักทั้งหมด 74 ห้อง ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ที่ดีไซน์เป็นพิเศษ สำหรับรองรับกลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีห้องพักหลายรูปแบบ เช่น ห้องแฟมิลี่ บังค์ เบดส์ ที่จะมีเตียง 2 ชั้นสำหรับเด็ก เหมาะกับครอบครัว 4 คน เป็นต้น รวมถึงมีพื้นที่สวนน้ำสำหรับเด็ก ซึ่ง Family Wing เป็นโปรดักต์ใหม่ของโรงแรมรีเจ้นท์ ชะอำ หัวหิน ที่พร้อมเปิดบริการแล้ว
ทั้งในพื้นที่ใกล้กัน ยังอยู่ระหว่างพัฒนาให้เป็น ออร์แกนนิค ฟาร์ม ที่จะมีเลี้ยงไก่ เพาะเห็ด กิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับออร์แกนนิค เพื่อให้กลุ่มครอบครัวได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน ในส่วนของโรงแรมรีเจ้นท์ ชาเลต์ หัวหิน ก็มีการตกแต่งห้องพักให้ทันสมัย สอดคล้องกับธีมทรอปปิคัล วิลเลจ โดยยังคงจุดขายสไตล์การพักผ่อนในบ้านที่ใกล้ชิดธรรมชาติ
ขณะที่ในส่วนของโรงเรียนการโรงแรมและท่องเที่ยวรีเจ้นท์ ชะอำ ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างมองว่าจะปรับหลักสูตรใหม่ให้เหมาะสมหลังโควิด และปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เปิดมากว่า 7 ปีแล้ว
คลุมทุกเซ็กเม้นต์
สำหรับแนวโน้มการท่องเที่ยวของไทยในปีหน้า ก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ เพราะโควิด-19 กระทบทั้งโลก ต้องรอจนกว่าจะผลิตวัคซีนสำเร็จ ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม ซึ่งเราก็ได้ทำความเข้าใจกับพนักงานกระตุ้นให้ต้องปรับตัว โดยเราเองก็ไม่รู้ว่าชัดเจนว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติได้เมื่อไหร่ เราจึงจะฝึกทักษะให้พนักงานสามารถทำงานได้หลากหลาย ไม่ใช่หน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งเหมือนในอดีต
ปัจจุบันมองว่าธุรกิจพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว เพราะในขณะนี้เรากลับมาเปิดดำเนินธุรกิจได้แล้ว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานว่าไม่มีการระบาดระลอก2 เกิดขึ้น และในปีหน้าจากการทยอยเปิดการท่องเที่ยวในลักษณะทราเวล บับเบิ้ล ก็น่าจะพอมีต่างชาติเริ่มเดินทางมาเที่ยวไทยได้บางส่วน และในแง่ของธุรกิจสายป่านเป็นเรื่องสำคัญ ต้องบริหารจัดการ ดูแลรายรับ-รายจ่ายให้ดี การหารายได้จากส่วนอื่นเข้ามาเพิ่มเติม รวมไปถึงการมองตลาด ที่จะต้องเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น อย่างการสร้าง Family Wing ก็เป็นการเจาะกลุ่มครอบครัว ส่วนการสร้างโรงแรมใหม่ ก็จะเป็นลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง แต่หลักๆก็จะเป็นการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกเซ็กเม้นท์นั่นเอง
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,590 วันที่ 9 - 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563