‘4 กุมาร’ ความทรงจำอันลํ้าค่า

11 ก.ค. 2563 | 05:20 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ค. 2563 | 12:23 น.

กลุ่ม “4 กุมาร” ในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง อดีตหัวหน้าพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน อดีต เลขาธิการพรรค, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม อดีตรองหัวหน้าพรรค และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกฯ อดีตกรรมการบริหารพรรค ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค พปชร. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 9 กราฎาคม 2563 ที่ผ่านมา

ภายหลังจากการลาออกกลุ่ม “4 กุมาร” ได้มีการเผยแพร่แถลงการณ์ ระบุว่า 

พวกเราเริ่มต้นเข้ามาทำงานการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ด้วยความหวังและความมุ่งมั่นว่าจะนำพาประเทศชาติ ประชาชน และการเมือง เดินหน้าต่อไปได้ ก้าวพ้นความขัดแย้งและการเมืองในรูปแบบเก่า เพื่อให้เป็นการเมืองที่ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วม ตามแนวทางประชารัฐ คือ รัฐ เอกชน ประชาชน ร่วมกันพัฒนาประเทศชาติ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาอย่างตรงจุด ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยทางพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำต่อคำ "นายกฯ" ส่งสัญญาณ "ปรับครม." ดึงคนนอก นั่ง "หน.ทีมเศรษฐกิจ"

"4 กุมาร" แถลงลาออกจากพปชร. ลั่น "ภูมิใจได้ทำหน้าที่"

“4 กุมาร”เปิดเหตุผลลาออกพปชร.ดัน"บิ๊กตู่"นั่งนายกฯสำเร็จลุ่ล่วง

การทำงานการเมืองในพรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดี พรรคพลังประชารัฐ เป็นที่ยอมรับของประชาชน จนสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความไว้วางใจ ยอมรับในนโยบายของพรรค อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน คือ การเมืองที่สงบ ปราศจากความขัดแย้ง อันจะนำไปสู่การพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

พรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำงานเพื่อตอบสนองประชาชนสมกับที่ประชาชนให้ความไว้วางใจ หลายนโยบายได้รับการขับเคลื่อนและเดินหน้าทันที ไม่ว่าจะเป็นการสานต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, การช่วยเหลือค่าครองชีพ
ของประชาชน รวมถึงการบรรเทาผล กระทบด้านเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19

ปัจจุบัน เราเห็นว่าภารกิจต่างๆ ที่ได้เริ่มต้นไว้นั้น สำเร็จลุล่วงด้วยดีตามความตั้งใจแรกเริ่ม และพรรคพลังประชารัฐ ได้ก้าวผ่านมาถึงการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ จึงถือว่าภารกิจของเราสิ้นสุดแล้วในระดับหนึ่ง

ความเหมาะสมในการบริหารงานเป็นเรื่องของช่วงเวลาและสถาน การณ์ ซึ่งเราเองมีความภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้นำพรรคผ่านสนามการเลือกตั้ง จนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ พรรคพลังประชารัฐ ได้มีโอกาสทำงานรับใช้ประชาชน ซึ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำให้เราตระหนักและระลึกอยู่เสมอว่า เราจะต้องทำงานช่วยเหลือประชาชน ให้สมกับความไว้วางใจที่ได้รับ

 

‘4 กุมาร’ ความทรงจำอันลํ้าค่า

 

วันนี้เราจึงขอประกาศว่า เราลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ได้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มกำลัง ซึ่งการลาออกครั้งนี้ ไม่ได้มีความขัดแย้งแต่อย่างใด

 

แม้กระนั้น เราก็ยังจะให้การสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้เป็นสมาชิก พรรคเท่านั้น

สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ คือ การทำหน้าที่ฝ่ายบริหารภายใต้การนำและการบังบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขปัญหาที่ประเทศและทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ คือ ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากโรคระบาดโควิด-19 โดยตั้งเป้าหมายว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เป็นที่พอใจของประชาชนมากที่สุด โดยจะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนและทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน

ขอบคุณประชาชนที่ให้การสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ขอบคุณผู้บริหารพรรค ส.ส. สมาชิกพรรค ที่ให้การสนับสนุนพวกเรามาโดยตลอด การได้ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐถือเป็นประสบการณ์ที่ดี เป็นความ ทรงจำที่ลํ้าค่า

นอกจากแถลงการณ์ดังกล่าวแล้ว นายอุตตม ได้ยํ้าว่า พวกตนทั้ง 4 คน ได้ปฏิบัติภารกิจทางด้านบริหาร และส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานในพรรคในช่วงที่ผ่านมา และในวันนี้ได้ตัดสินใจยุติบทบาททางการเมืองของพวกเรา ในฐานะสมาชิกของพรรค พปชร.

“ที่มาที่ไปคือ 2 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้เป็นแกนนำจัดตั้งพรรคร่วมกัน โดยมีความตั้งใจจะเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ และมีเจตนารมณ์สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำประเทศ และพาประเทศก้าวข้ามสถานการณ์ในช่วงนั้น หลายอย่างที่เกิดขึ้น พลังประชารัฐมีความก้าวหน้า สานต่อนโยบายการสร้างพรรค ให้ เป็นสถาบันทางการเมือง เรามีคนมาจากหลากหลายสาย จนถึงวันนี้ถือได้ว่าภารกิจของพวกผมทั้ง 4 คน ลุล่วงไปแล้ว” 

 

นายอุตตมกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ พปชร.ก็มีผู้บริหารชุดใหม่ พรรคจะเดินหน้าต่อไปได้ จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่พวกตนจะหยุดภารกิจในพรรค แต่เราจะยังทำงานต่อไปในด้านบริหารตามภารกิจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากนายกฯ คือจะยังทำหน้าที่ในครม. ต่อไป แต่เราจะยังสนับสนุนกิจกรรมของพรรคในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนโดยรวม

ด้าน นายสนธิรัตน์ กล่าวเช่นกันว่า บทบาทหน้าที่ทางการเมืองย่อมมีความเปลี่ยนแปลง พวกตนไม่ มีความคิดที่จะยึดติดกับบทบาทใดบทบาทหนึ่ง

“เราคือคนทำงาน อะไรที่เป็นประโยชน์ เราทุ่มเทเต็มที่ ในหน้าที่ของเรา เราไม่มีความยึดติดทางการเมือง ว่าจะต้องเป็นตลอดไป หรือพยายามที่จะอยู่ในหน้าที่ให้ได้มากที่สุด เราจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ส่วนบทบาทนั้นจะดำเนินการไปอย่างไร สิ้นสุดเมื่อไร เป็นเรื่องที่พวกเราไม่ได้ยึดติด” 

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,591 หน้า 10 วันที่ 12 - 15 กรกฎาคม 2563