การวิเคราะห์ของ KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร เผยว่า เป็นระยะเวลาเกือบ 9 เดือนกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศทั่วโลก สถานการณ์ในหลายประเทศยังคงน่าเป็นห่วงจากการเผชิญกับการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งสร้างปัญหาทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของผู้คนอย่างกว้างขวาง
สำหรับประเทศไทยถึงแม้จะสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและรายได้ของคนไทยนั้นย่ำแย่จากการที่ไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวและการส่งออกสูง ทำให้ขาดเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ธุรกิจเสี่ยงต้องปิดตัวลงจำนวนมาก จำนวนคนตกงานและสูญเสียรายได้สูงเป็นประวัติการณ์
เครื่องยนต์ตัวเดียวที่เหลืออยู่ในเวลานี้ คือ การใช้จ่ายของภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจเป็นความหวังที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไว้ได้ในเวลานี้ คำถามคือเครื่องยนต์นี้ทำงานได้ดีเพียงใดในช่วงที่ผ่านมา และมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด
3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
รัฐบาลประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ผ่านการใช้จ่ายของครัวเรือนในรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงที่เหลือของปี (ตุลาคม – ธันวาคม) รวม 3 มาตรการ ได้แก่
(1) มาตรการช้อปดีมีคืน หรือมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือบริการ ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(2) โครงการคนละครึ่ง มีเป้าหมายเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย โดยรัฐบาลจะช่วยออกค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าค้าทั่วไปให้กับประชาชน 50% แต่ไม่เกินคนละ 150 บาทต่อวัน รวมตลอดระยะเวลาไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน
(3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่ออุดหนุนค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้แก่ผู้มีรายได้น้อย เช่น อุปกรณ์การศึกษา วัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม โดยเพิ่มให้คนละ 500 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 300 บาทต่อเดือน เป็น 800 บาทต่อเดือน และกลุ่มผู้ที่มีรายได้ 30,000 – 100,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 200 บาทต่อเดือน เป็น 700 บาทต่อเดือน ทั้งนี้เงื่อนไขสำคัญคือ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมในแต่ละโครงการจะสามารถเข้าร่วมได้เพียงโครงการเดียวเท่านั้น
แรงกระตุ้นอาจน้อยกว่าที่คาด
KKP Research ประเมินว่าผลของมาตรการที่ออกมาในครั้งนี้ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจไม่สูงมากนัก โดยคาดว่า การใช้จ่ายผ่านทั้ง 3 มาตรการ จะช่วยกระตุ้นให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มในช่วงที่เหลือของปี ประมาณ 1.07 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินไว้ว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท (รูปที่ 1)
โดย สศค. คาดว่ากำลังซื้อที่จะเกิดขึ้นภายใต้มาตรการกระตุ้นรอบใหม่นี้ ส่วนใหญ่จะมาจากมาตรการช้อปดีมีคืนเป็นเงิน 111,000 ล้านบาท จากโครงการคนละครึ่ง 60,000 ล้านบาท และโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมอีก 21,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 192,000 ล้านบาท
3 สาเหตุหลักมาจาก
1.กำลังซื้อที่อ่อนแอลงมากจากภาวะการว่างงานและรายได้ของครัวเรือนที่ถูกกระทบอย่างหนัก จากสถานการณ์ COVID-19 และภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยสถานการณ์การจ้างงานจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ชี้ว่าถึงแม้จำนวนคนตกงานจะมีเพียง 7.5 แสนคนในเดือนมิถุนายน คิดเป็นอัตราการว่างงานเพียง 1.9% แต่มีแรงงานอีก 2.5 ล้านคนที่ต้องหยุดงานชั่วคราว และอีก 7.6 ล้านคนที่ทำงานไม่เต็มเวลาคือน้อยกว่า 34 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (Underemployed) อีกถึง 7.6 ล้านคน สามกลุ่มนี้รวมคิดเป็น 30% ของแรงงานไทยทั้งหมด และถึงแม้ตัวเลขจะปรับดีขึ้นบ้างในเดือนล่าสุดคือเดือนสิงหาคม แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 22% สะท้อนถึงความเปราะบางของตลาดแรงงานไทยและรายได้ของผู้คนที่ลดลงตามชั่วโมงการทำงานที่หายไป ที่น่ากังวลคือ หากสถานการณ์ความซบเซาของเศรษฐกิจยังคงลากยาวออกไป แม้ผู้ประกอบการหลายรายจะพยายามประคับประคองธุรกิจไว้และยังไม่เลิกจ้างแรงงาน แต่ใช้วิธีลดเวลาการทำงานแทน สุดท้ายธุรกิจอาจต้องตัดสินใจปิดตัวลงและเลิกจ้างในที่สุด ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะกระตุ้นกำลังซื้อในภาวะที่การจ้างงานและรายได้มีความไม่แน่นอนสูงทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและลูกจ้างแรงงานเอง
2.ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นภายใต้มาตรการต่าง ๆ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นค่าใช้จ่ายเดิมที่ตั้งใจจะใช้อยู่แล้ว (Existing demand)เพียงเลื่อนช่วงเวลาการใช้จ่ายให้อยู่ในระยะเวลาของมาตรการเพื่อรับสิทธิประโยชน์เท่านั้น ส่วนหนึ่งจากความระมัดระวังการใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นการกระตุ้นอุปสงค์ใหม่ได้ไม่มากนัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โครงการคนละครึ่งลงทะเบียน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,100 ล้าน
ปิดจ๊อบลงทะเบียน "คนละครึ่ง" 10 ล้านสิทธิเต็มแล้ว
ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธิเต็มภายใน 12 วัน
3.ในแง่ของการกระตุ้น GDP ส่วนหนึ่งจะรั่วไหลไปกับการนำเข้าสินค้า ซึ่งไม่นับรวมอยู่ใน GDP ของไทย (Import leakage) แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นยอดขายในธุรกิจค้าปลีกและการจับจ่ายใช้สอยในประเทศให้กระเตื้องขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนด แต่สินค้าที่ผู้บริโภคนำมาใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีอาจไม่สามารถนับเป็นผลต่อเศรษฐกิจของประเทศได้ทั้งหมด เพราะส่วนหนึ่งจะเป็นการซื้อสินค้าราคาสูงที่ไม่ได้ผลิตในประเทศไทย เช่น การซื้อโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ภาพรวม KKP Research ประเมินว่าทั้ง 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่นี้จะส่งผลให้ GDP ในปีนี้เพิ่มขึ้น 0.17% ต่ำกว่าที่ สศค. คาดไว้ที่ 0.54% ของ GDP จากสมมติฐานที่แตกต่างกันดังที่แสดงในตารางที่ 1
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า บทบาทของภาครัฐมีความสำคัญอย่างมากในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะได้ตั้งงบประมาณในการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับค่อนข้างสูง แต่ในความเป็นจริงมาตรการเหล่านี้ยังออกไปได้น้อย โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนภาครัฐ ขณะที่มาตรการกระตุ้นผ่านการใช้จ่ายรอบใหม่ที่เพิ่งออกมาอาจได้ผลจำกัด เพราะรายได้ของคนจำนวนมากถูกกระทบอย่างหนัก อาจไม่ได้เป็นการกระตุ้นอุปสงค์ใหม่ และส่วนใหญ่เป็นการดึงอุปสงค์ในอนาคตมาใช้
นอกจากนี้ เชื่อว่ารัฐบาลยังมีความสามารถในการกู้เงินเพื่อกระตุ้นและเยียวยาเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเกินกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ 60% แต่ทั้งนี้รัฐบาลต้องมีแผนในการใช้เงินที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดลำดับความสำคัญของการใช้เงินตามเป้าหมายของนโยบายและทิศทางของประเทศที่อาจเปลี่ยนไปอย่างจริงจังและชัดเจน รวมถึงการปรับรูปแบบการจัดงบประมาณให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และลดการรั่วไหลของเงินงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินลงไปในเศรษฐกิจตามเป้าหมายได้มากที่สุด (เช่น การอบรมสัมมนาดูงานต่างประเทศ การซื้ออาวุธ หรือพาหนะที่มีความจำเป็นน้อย ไม่ช่วยสร้างงาน ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป) และมีการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเข้มงวด
มาตรการลดหย่อนภาษีถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 ครั้งในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2558 ภายใต้ชื่อมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” จะมีเพียงปี 2562 ที่ไม่ได้นำมาตรการดังกล่าวมาใช้ แต่มีการใช้มาตรการ “ชิมช้อปใช้” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแทน ในปี 2563 นี้ภาครัฐได้นำมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” กลับมาใช้อีกครั้งภายใต้การ rebranding ด้วยการเปลี่ยนชื่อเป็นมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” อย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน
แม้ว่าชื่อของมาตรการจะมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่หลักการของมาตรการยังคงเหมือนเดิม คือ การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการตามวงเงินที่กำหนด ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันไปในส่วนของรายละเอียดโครงการ กล่าวคือ มาตรการในครั้งก่อนจะกำหนดระยะเวลาให้เข้าร่วมมาตรการเพียงสั้น ๆ โดยสูงสุดอยู่ที่ 33 วัน และวงเงินสำหรับซื้อสินค้าและบริการเพื่อลดหย่อนภาษีเพียง 15,000 บาท ซึ่งต่างจากมาตรการในปีนี้ที่ให้ระยะเวลายาวนานถึง 3 เดือน และวงเงินสำหรับซื้อสินค้าและบริการสูงถึง 30,000 บาท (ตารางที่ 1)
ผลของมาตรการอาจไม่มากอย่างที่คาดหวัง
แม้การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการในปีนี้จะให้ทั้งระยะเวลาและวงเงินเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าผลของมาตรการต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้อาจไม่สูงมาก เนื่องจาก
(1)คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์มากนักจากสิทธิทางภาษี จากมาตรการช้อปดีมีคืนผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาของประเทศไทยมีทั้งสิ้น 3.7 ล้านคน คิดเป็นเพียง 10% ของกำลังแรงงานไทย และประมาณครึ่งหนึ่งของผู้เสียภาษีคือกลุ่มคนที่มีรายได้สุทธิอยู่ระหว่าง 150,001 – 300,000 บาทต่อปี (เสียภาษีในอัตรา 5% ของเงินได้) หมายความว่า เพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากการเข้าร่วมมาตรการช้อปดีมีคืน คนกลุ่มนี้จะต้องใช้เงินสูงถึง 10 – 30% ของรายได้ทั้งปี เพื่อเงินภาษีคืนสูงสุดเพียง 1,500 บาท ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาทต่อปี (เสียภาษีในอัตรา 10% ของเงินได้) จะได้รับเงินภาษีคืนสูงสุดไม่ถึง 3,000 บาท (รูปที่ 1) ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านการจ้างงาน อาจจะส่งผลให้คนส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และอาจตัดสินใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งละแทน เนื่องจากได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลคนละ 3,000 บาท หรือ 50% จากการใช้จ่ายเพียง 6,000 บาท เว้นแต่บางกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายจำเป็นหรือมีความตั้งใจจะซื้อสินค้าและบริการที่ราคาถึง 30,000 บาทอยู่แล้ว เช่น เครื่องใช้ฟ้า โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์และอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
ดังนั้น กลุ่มที่ได้รับประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากมาตรการนี้ คือ ผู้ที่มีเงินได้สุทธิต่อปีตั้งแต่ 500,001 บาทต่อปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนประมาณ 9 แสนคน คิดเป็นเพียง 24% ของผู้เสียภาษีทั้งหมด หรือเพียง 2.4% ของกำลังแรงงานไทย
(2) ผลกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ถึงแม้จะมีการหยิบเอามาตรการประเภทลดหย่อนภาษีมาใช้หลายครั้งหลายคราในช่วงที่ผ่านมาและอาจช่วยผู้ประกอบการบางกลุ่มได้บ้างในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา แต่ในแง่ประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ความคุ้มค่าของเม็ดเงินภาครัฐที่ใช้ไป และการกระจายผลประโยชน์ไปกลุ่มคนต่าง ๆ อย่างมิได้มีการศึกษาและเปิดเผยผลสรุปอย่างเป็นรูปธรรม จะมีก็แต่บริษัทธุรกิจค้าปลีกต่าง ๆ ออกมาเปิดเผยถึงยอดการขายที่ถูกกระตุ้นโดยมาตรการชั่วคราวเหล่านี้ภายหลังมาตรการจบลงในแต่ละปี
หากพิจารณาในมุมของผลต่อเศรษฐกิจจริงจากดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index: PCI) ในหมวดสินค้ากึ่งคงทน พบว่าผลของมาตรการต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของครัวเรือนจะมีผลค่อนข้างคลุมเครือและมีผลเพียงระยะสั้นเท่านั้นในช่วงที่ออกใช้มาตรการ และการบริโภคจะลดลงในเดือนถัดไปภายหลังมาตรการจบลง สะท้อนว่ามาตรการในลักษณะนี้มักจะเป็นการดึงอุปสงค์ในอนาคตมาใช้มากกว่าการสร้างอุปสงค์ใหม่ ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยยังคงไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และผลกระทบจากสถานการณ์โควิดยังคงลากยาวออกไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือกำลังซื้อของผู้บริโภคไทยที่อาจทรุดลงอีกครั้งหลังมาตรการสิ้นสุดลง.....อ่านฉบับเต็ม
ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ( TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU ) นายธรรมรัตน์ กิตติสิริพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ TISCO ESU ระบุว่าประเมิน 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ โครงการที่น่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินใช้จ่ายใกล้เคียงกับงบประมาณที่รัฐตั้งเป้าไว้มากที่สุด คือ โครงการ"เพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ขณะที่โครงการ “ช้อปดีมีคืน” อาจทำได้ไม่ถึงเป้าที่รัฐคาดหวังไว้
“TISCO ESU คาดว่า โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐน่าจะสัมฤทธิ์ผลมากที่สุด เพราะเสมือนเป็นเงินฟรี หรือ “เงินให้เปล่า 100%” จากรัฐบาล ที่แจกให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้น้อยจำนวน 14 ล้านคน ขณะที่โครงการที่น่าจะสัมฤทธิ์ผลรองลงมาคือ โครงการ “คนละครึ่ง” เพราะมีลักษณะกึ่งการแจกเงินเหมือนกัน แต่เป็นการแจกเงินในรูปแบบที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่งของการใช้จ่ายสำหรับสินค้าที่ดำรงชีวิตประจำวัน โดยผู้เข้าโครงการจะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 3,000 บาทต่อคน จากยอดใช้จ่าย 6,000 บาท ซึ่งเสมือนกับว่าผู้ใช้จ่าย “ได้เงินกลับคืนมา 50% (cash back)” นายธรรมรัตน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการ “คนละครึ่ง” ทางศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมียอดใช้จ่ายเต็มจำนวน เพราะหากดูโครงการในอดีตเมื่อปลายปี 2562 อย่างโครงการ “ชิมช้อปใช้” ที่ให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยผ่าน G-Wallet 2 เพื่อรับเงินคืนสูงสุด 20% ก็มีผู้ใช้สิทธิ์ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง แม้โครงการคนละครึ่งจะได้เงินกลับคืนมาสูงกว่า 50% น่าจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการใช้จ่ายมากกว่า แต่ประชาชนยังต้องควักเงินในกระเป๋าออกเองครึ่งหนึ่งอยู่ดี ทำให้ความสัมฤทธิ์ผลคงไม่เทียบเท่ากับโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่รัฐเป็นผู้ควักเงินในกระเป๋าออกมาให้ใช้จ่ายแทนทั้งหมด
นายธรรมรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการ “ช้อปดีมีคืน” นั้นเป็นไปได้ยากที่จะก่อให้เกิดเม็ดเงินใช้จ่ายถึง 111,000 ล้านบาท ตามที่รัฐตั้งเป้าหมายไว้ เพราะแรงจูงใจในการใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีเงินได้ของแต่ละบุคคลที่ต้องเสียภาษี ตั้งแต่อัตราภาษีที่เสีย 5% ไปจนถึงอัตราสูงสุดที่ 35% ดังนั้น ผู้ใช้จ่ายจะ “ได้เงินคืนกลับมา 5 - 35%” ตามแต่ขั้นของอัตราภาษีเงินได้ของผู้ใช้จ่าย หรือคิดเป็นเงินได้กลับคืนมาสูงสุด 1,500-10,500 บาท ของแต่ละขั้นอัตราภาษีจ่าย
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากข้อมูลจำนวนผู้เสียภาษีในแต่ละฐานอัตราภาษีในปี 2558 พบว่า ผู้ต้องเสียภาษีในอัตราตั้งแต่ 15% ขึ้นไป มีจำนวนประมาณ 1 ล้านคนเศษ หากสมมติให้คนกลุ่มนี้ใช้จ่ายเงินเต็มที่ที่ 30,000 บาท เพื่อนำไปหักภาษี ก็จะก่อให้เกิดเม็ดเงินใช้จ่ายเพียง 30,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น คงต้องลุ้นกันมากพอสมควรที่จะให้การใช้จ่ายภายใต้โครงการช้อปดีมีคืนเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐตั้งเป้าไว้ถึง 1 แสนกว่าล้านบาท
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยทั้ง 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ช่วยให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยคึกคักขึ้นในไตรมาส 4/2563 และส่งผลบวกต่อ GDP เล็กน้อย จากปัจจุบันมองว่า GDP ปี 2563 จะติดลบที่ระดับ 8%