ไทยพาณิชย์ เดินหน้าลดต้นทุน ตั้งเป้า 10%ใกล้เคียงจากปีก่อน ย้ำเงินกองทุนแกร่งพร้อมดูแลลูกค้า-ขยายธุรกิจแนวใหม่ ล่าสุดผนึกแสนสิริวางเป้าช่วยเอสเอ็มอี 1,500 รายผ่านโครงการใหญ่ “SANSIRI x SCB : BUILD FOR ALL เตรียมงบซื้อสินค้า 6,000 ล้านบาทพร้อมหนุนวงเงินสินเชื่ออีก 1,000 ล้านบาท หวังสกัดสึนามิเศรษฐกิจ
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปีนี้ธนาคารยังคงเดินหน้าในการปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยคาดว่าในปีนี้จะสามารถปรับลดต้นทุนลงใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ประมาณ 10% จากเดิมอยู่ที่ 7หมื่นกว่าล้านบาทสิ้นปี 2563 ต้นทุนสามารถลดลงมาอยู่ที่ 6.3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามในส่วยของงบลงทุนด้านเทคโนโลยีนั้นยังคงมีอยู่แต่จะต้องทยอยลดลงเรื่อยๆ
“ ส่วนแผนในปี 2564 และยุทธศาสตร์หลักนั้น อยู่ระหว่างจัดเตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น(บอร์ด)หากบอร์ดอนุมัติก่อนเดือนเมษายนจึงจะแถลงแผนอย่างเป็นทางการ แต่จากการเตรียมองค์กรมาอย่างแข็งแกร่ง ในรอบปีกว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าการให้ความช่วยเหลือลูกค้า หรือให้พนักงานลงรายละเอียดอยู่ใกล้ชิดลูกค้าโดยไม่ปฎิเสธความช่วยเหลือ และเร่งสร้างตัวเองให้เข้มแข็งด้วยการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญค่อนข้างเยอะมีเงินกองทุนขั้นที่ 1 สูงถึง 17% เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็สามารถดูแลลูกค้าได้ ขณะเดียวกันมองไปข้างหน้าธนาคารต้องเปลี่ยนแนวการทำธุรกิจ New S Curve ซึ่งจะต้องเป็นธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนเดิม”
อาทิ การเชื่อมโยงหรือต่อยอดจากฐานธุรกิจที่มีอยู่ เช่น Mortgage นอกจากทำแล้วได้ขนาด ต่อไปจะต้องทำรูปแบบอื่นควบคู่กัน หรือ Robinhood ต่อไปต้องยกระดับเป็นแพลตฟอร์มให้สามารถเชื่อมต่อธุรกิจอื่นๆ นอกจาก Food delivery
ล่าสุดไทยพาณิชย์ผนึกความร่วมมือกับแสนสิริ ในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีภายใต้โครงการ“SANSIRI x SCB: BUILD FOR ALL สร้างไปด้วยกัน” เพื่อเป็นต้นแบบสร้างการรับรู้เพื่อกระตุ้นให้องค์กรขนาดใหญ่เข้ามาช่วยเหลือเอสเอ็มอี ให้สามารถฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน โดยนายอาทิตย์ นันทวิทยา กล่าวว่าธนาคารร่วมกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ในโครงการ "SANSIRI x SCB : BUILD FOR ALL สร้างไปด้วยกัน" โดยผ่าน 3 มาตรการหลัก คือ 1.สนับสนุนวงเงินสินเชื่อรวม 1,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 1.99% เป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้กับกลุ่มลูกบ้านแสนสิริที่ประกอบธุรกิจ รวมถึงคู่ค้ากลุ่มผู้ประกอบการในเครือข่ายแสนสิริที่ต้องเริ่มต้นธุรกิจใหม่
และ 2.มอบองค์ความรู้เพื่อเสริมศักยภาพทางด้านดิจิทัลและลดต้นทุนแก่กลุ่มผู้ประกอบการซัพพลายเชนของแสนสิริ ผ่านการจัดอบรมสัมมนา และ Business Matching เพื่อเปิดโอกาสพบคู่ค้ารายใหม่ของธนาคาร และ 3.สนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารให้เข้าสู่แอปพลิเคชันโรบินฮู้ด (Robinhood) แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์ม (จีพี) ช่วยเพิ่มช่องทางขายการนอกเหนือจากหน้าร้าน ทั้งนี้ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเป็นลูกบ้านของแสนสิริอีกกว่า 1,000 ครอบครัว
สำหรับเป้าหมายความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยสร้างรายได้ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอีให้ก้าวผ่านวิกฤติได้ โดยในปี 2564 ช่วย เอสเอ็มอีไทย 1,500 ราย นำร่อง 6 กลุ่มธุรกิจ ด้วยวงเงินซื้อสินค้า 6,000 ล้านบาท และการให้สินเชื่อสนับสนุนธุรกิจพิเศษรวม 1,000 ล้านบาท ต่อยอดปี 2563 ที่แสนสิริช่วยมาแล้วกว่า 900 รายและซื้อสินค้าไปแล้ว 4,000 ล้านบาท
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานกรรมการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงมีความเปราะบางเพราะทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ต่อเนื่องมากว่า 1 ปี ภาคการส่งออก การท่องเที่ยวหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วโลก ซึ่งภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบแรกก็คือกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เนื่องจากการมีข้อจำกัดด้านเงินทุน การเข้าถึงเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ และโอกาสในการแข่งขัน แม้ว่าเอสเอ็มอีหลายแห่งจะปรับตัวหันไปเจาะตลาดอีคอมเมิร์ซและลดต้นทุนด้านพนักงานลง แต่ก็ยังมีเอสเอ็มอีอีกหลายแห่งที่ต้องทยอยปิดตัวลงไปอย่างต่อเนื่อง และหากสถานการณ์ไม่คลี่คลายในเร็วๆนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เนื่องจากเอสเอ็มอีเป็นฟันเฟืองที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ จึงถือเป็นอีกเส้นเลือดใหญ่ที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงการจ้างงานจำนวนมาก เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นจึงต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน