วันนี้ (4 มิ.ย. 2564) นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน พันตำรวจโท กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะหารือร่วมกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กรมควบคุมโรค กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ถกแนวทางแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่
นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้หยิบยกกรณีการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จนมีคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า ในระยะแรก หน่วยงานภาครัฐเท่านั้นที่จะดำเนินการจัดซื้อและบริหารจัดการวัคซีน และกระจายวัคซีนตามแผนการบริหารจัดการวัคซีน
เนื่องจากเป็นช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด ซึ่งรัฐได้วางแผนการบริหารจัดการวัคซีนเพื่อให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้รับวัคซีนโดยคำนึงถึงความปลอดภัยกับผู้ได้รับวัคซีนอย่างสูงสุด จึงยังไม่สามารถให้ภาคเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดซื้อวัคซีนกับผู้ผลิตวัคซีนได้โดยตรง
แต่ปัจจุบันที่มีการระบาดระลอกใหม่ และมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นมาก จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกระจายและฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค อีกทั้งขณะนี้มีวัคซีนทางเลือกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ประชาชนเลือกรับวัคซีนได้หลากหลาย เช่น จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โมเดอร์นา และซิโนฟาร์ม ซึ่งจะสามารถเพิ่มจำนวนผู้รับวัคซีนได้สูงขึ้น จึงถือได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันได้พ้นระยะแรกตามคำวินิจฉัยเดิม
อย่างไรก็ดี ยังพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนถูกต้องและทั่วถึง เกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน การจัดหาและการกระจายวัคซีน ความพร้อมของบุคลากร เครื่องมือ และสถานที่ให้บริการวัคซีน กรอบระยะเวลาการดำเนินการให้วัคซีน การเปิดจองสิทธิ ตลอดจนการจัดลำดับกลุ่มเป้าหมายในการเข้ารับวัคซีน ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อมาตรการของรัฐในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามมา
ในวันนี้จึงหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อติดตามความคืบหน้าและมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐบริหารจัดการวัคซีนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งจากผลการหารือ สรุปข้อเสนอแนะกรณีการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ดังนี้
1.รัฐโดย ศบค.ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพให้ครอบคลุม ทั่วถึง และทันเวลาต่อการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของของโรคโควิด-19 ของประชาชนและกลุ่มเสี่ยงเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน
2.เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระจายเป็นวงกว้าง โดยประชาชนควรต้องได้รับวัคซีนอย่างเร่งด่วน ศบค.จึงควรเร่งกำหนดมาตรการและแนวทางในการให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดหาและกระจายวัคซีนทางเลือกในการป้องกันโรคโควิด-19
3.รัฐโดย ศบค.ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อให้เกิดความชัดเจนไม่ก่อให้เกิดความสับสนในการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมถึงกำหนดและเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการเยียวยาอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ว่า มีหลักเกณฑ์และแนวทางในการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างไร อันเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
4.นอกจากบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าและประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงแล้ว รัฐควรสนับสนุนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเชิงรุกให้แก่กลุ่มคนซึ่งขาดศักยภาพที่จะเข้าถึงบริการหรือข่าวสารของภาครัฐ ในเรื่องการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เช่น กลุ่มคนที่มีความจำเพาะด้านสุขภาพ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุ
กลุ่มคนด้อยโอกาสทางสังคม เช่น คนยากจน บุคคลเร่ร่อน หรือผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร์ ฯลฯ โดยจัดให้มีบริการเข้าไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ยังสถานที่ที่กลุ่มคนเหล่านั้นอยู่อาศัยอย่างทั่วถึง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :