รายงานข่าวระบุว่า นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ (หมอมนูญ) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC) โดยมีข้อความระบุว่า
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration - FDA ของสหรัฐอเมริกา) และกระทรวงสาธารณสุขไม่แนะนำให้ตรวจระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีภายหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ค่าของแอนติบอดีไม่ได้บอกถึงความสามารถในการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรค ถ้าค่าที่วัดออกมาต่ำ อาจสร้างความไม่สบายใจ นอกจากนี้บางคนอ่านข่าวแล้ว ไม่อยากได้วัคซีนชนิดนั้น
ในประเทศไทยมีห้องปฏิบัติการวิจัยในหลายมหาวิทยาลัย เจาะเลือดตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีในเลือดคนที่ได้รับวัคซีนมาแล้ว หลายวิธี ได้ผลรวดเร็ว หน่วยที่วัดออกมาก็แตกต่างกัน เปรียบเทียบกันไม่ได้
ต่างจากการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพของวัคซีนในการทดลองขั้นที่ 1/2 นักวิจัยเจาะเลือดคนหลังฉีดวัคซีน นำเลือดนั้นไปทดลองกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ตัวเป็นๆ ว่าแอนติบอดีในเลือดสามารถยับยั้งการติดเชื้อและทำลายเซลล์ Vero cell ที่ใช้ในการเพาะเลี้ยง วิธีนี้ยุ่งยาก ใช้เวลานาน ต้องทำในห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อชีวนิรภัยระดับสูง
มีการศึกษายืนยันคนที่ได้รับวัคซีนทั้งซิโนแวค ซิโนฟาร์ม แอสตร้าเซเนก้า และวัคซีนอื่นๆที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอนามัยโลก หลังฉีดตรวจพบแอนติบอดีสามารถยับยั้งการติดเชื้อทำลายเซลล์ที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ และในชีวิตจริงสามารถลดการป่วยหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิต เพราะฉะนั้นคนไทยไม่จำเป็นต้องเสียเงินเป็นหลักพันบาทไปเจาะเลือดตรวจหาภูมิคุ้มกันแอนติบอดีหลังฉีดวัคซีน
ผมได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 โดส ได้รับการทาบทามจากโรงพยาบาลวิชัยยุทธให้เข้าร่วมการศึกษาวิจัยเนื่องจากอยู่ในกลุ่มคนสูงอายุ ตรวจเลือดหาแอนติบอดีต่อโปรตีนส่วนที่เป็นปุ่มหนามของไวรัสโควิด-19 เปรียบเทียบกับบุคลากรทางการแพทย์ที่อายุน้อย ค่าของแอนติบอดี 6 สัปดาห์หลังจากโดสที่ 2 ของผมสูง 1,752 AU/ml ไม่ต่างจากค่าเฉลี่ย 1,619 AU/ml ของบุคลากรทางการแพทย์ของรพ.ศิริราชซึ่งส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 60 ปี (ดูรูป)
ปัจจุบันวัคซีนซิโนแวคสามารถให้คนอายุ 18 ปีขึ้นไปและผู้สูงอายุ ขอให้มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิด-19 (Covid-19) ของประเทศไทยวันที่ 28 ก.พ.-18มิ.ย.64 จากศูนย์ข้อมูล COVID-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีการฉีดสะสมไปแล้วจำนวน 7,483,083 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 5,434,119 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 2,048,964 ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :