“อุบลศักดิ์”ลั่น! ย่างปีที่ 48 เหลียวหลัง แลหน้า “กลุ่มเกษตรกร” จะไปทางไหน?
“อุบลศักดิ์” เนรมิตเขาค้อเปิดเวทีประชุมใหญ่ ปลุกระดมอนาคตกลุ่มเกษตรกรไทยย่างปีที่ 48 จะไปทางไหน? พร้อมจัดสัมมนาเชิญ 6 บิ๊กภูมิภาคซัดเต็มเหนี่ยว ขับเคลื่อนนโยบายส่งต่อรัฐบาลใหม่ 2 โปรเจคชลประทาน ดันกระทรวงการข้าว มั่นใจฐานรากแข็งแกร่ง เล็งอนาคตการเมืองพิง ใครขับเคลื่อนนโยบายพร้อมใจเทคะแนนเสียงปูทางเข้าสภาทันที
วันนี้(วันที่ 1 พ.ค.62)“กลุ่มเกษตรกรไทย” ครบรอบ 47ปี ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยก่อนหน้านี้ย้อนไปเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2498 อย่างไม่เป็นทางการ เรียกว่า “กลุ่มชาวนา และหลังจากนั้นทางราชการได้ส่งเสริมให้ตั้งกลุ่มชาวนาขยายไปทั่วประเทศ โดยใช้การจดทะเบียนเป็นหลักฐาน แต่ไม่ได้เป็นนิติบุคคลจนเมื่อกรมส่งเสริมการเกษตร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2510 กลุ่มชาวนาจึงเปลี่ยนชื่อ เป็นกลุ่มเกษตรกร ทั้งนี้เพื่อให้มีความหมายกว้างขึ้น สามารถครอบคลุมอาชีพเกษตรทุกสาขา ซึ่งได้เพิ่มขยายจำนวนขึ้นตามลำดับ
ในตอนแรกที่รวมกลุ่มมิได้เป็นนิติบุคคลไม่สามารถดำเนินธุรกิจการค้าได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงพยายามหาทางสนับสนุนให้มีกฎมายรับรองกลุ่มเกษตรกรให้เป็นนิติบุคคล ซึ่งได้เสนอกฎหมายนี้ให้รัฐบาลพิจารณา เมื่อปี 2504 เป็นเวลา 10 ปีเศษ รัฐบาลจึงได้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 140-141 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2515 โดยแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 ให้มีบทบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรโดยมีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและสามารถดำเนินธุรกิจต่างๆได้ จึงถือเป็นวันก่อตั้งกลุ่มเกษตกร นับจากวันนั้น และ "ก้าวต่อไปปีที่ 48" จะเป็นอย่างไรนั้น โดยในปีนี้จัดที่อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรกรแห่งประเทศไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าในปีนี้กลุ่มเกษตรกรไทยจะผลักดัน 1. โครงการผันน้ำ “โขง เลย ชี มูล ป่าสัก” จะแก้ปัญหาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่การเกษตร จำนวน 69.91 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ชลประทานน้อยที่สุด เพียง 8.06 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 11.53% ของพื้นที่การเกษตร ทำให้พื้นที่ 60ล้านไร่ ต้องอาศัยน้ำฝนทำการเกษตร ทำให้ขาดความมั่นคงในเรื่องน้ำ
อีกทั้งในฤดูฝนก็ประสบปัญหาน้ำท่วมและในฤดูแล้งก็ประสบปัญหาแล้งซ้ำซากเป็นประจำทุกปี จึงทำให้รายได้เฉลี่ยในภาคอีสานมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 8.74 หมื่นบาท ต่อครัวเรือนต่อปี (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2560) เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆจะมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 1.48 แสนบาทต่อครัวเรือนต่อปี มั่นใจว่าเมื่อดำเนินการแล้วจะครอบคลุมพื้นที่ภาคอีสานทั้ง 3 ลุ่มน้ำ คือลุ่มน้โขงอีสาน ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำมูล รวม 20 จังหวัดจะมีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้
ส่วน 2. โครงการผันน้ำ “ โขง กก อิง น่าน เจ้าพระยา ป่าสัก” เป็นโครงการที่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นการผันปริมาณน้ำจากลำน้ำสาขาที่อยู่ในอาณาเขตประเทศไทย รวมทั้งเขื่อนสิริกิตติ์ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ/อ่างเก็บน้ำใหม่ มั่นใจว่าหากดำเนินโครงการต่างๆนี้จะแก้ปัญหาแล้ง-ท่วม ได้ยั่งยืน คาดว่าจะส่งมอบให้รัฐบาลใหม่ขับเคลื่อนนโยบายต่อไป
นายอุบลศักดิ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องตั้งกระทรวงเพื่อให้เป็นของขวัญชาวนา และเพื่อที่จะดูแลให้ชาวนาอายุ 60 ปีมีบำนาญ และสวัสดิการ แก้ไขปัญหาหนี้สิน บริหารจัดการข้าวครบวงจร ลดช่องว่างของภาคการผลิต แปรรูปและการตลาดให้มีความยั่งยืน สร้างความเป็นธรรม และพัฒนาเทคโนโลยีด้านข้าวให้เข้มแข็งและเป็นหนึ่งในโลกด้านข้าว
นายอุบลศักดิ์ กล่าวว่า ตามหลักรัฐศาสตร์ ถ้าประชาชนเข้มแข็งรัฐบาลจะอ่อนแอ ถ้าตราบใดที่รัฐบาลเข้มแข็ง ประชาชนจะอ่อนแออย่างทุกวันนี้ ผมถามว่าวันนี้ใครโงหัวขึ้นมาบ้างกับอำนาจเผด็จการ แต่ถ้ากลุ่มเกษตรกรกว่า 7 พันตำบลเข้มแข็งใครก็ไม่กล้าปฏิวัติ ใครก็ไม่กล้ารัฐประหาร ถึงเวลาแล้วที่จะต้องต้องสู้ด้วยสติปัญญา ด้วยมันสมองและต้องช่วยตัวเองเป็นหลัก
อนึ่งปัจจุบันกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศมี 7,384 กลุ่ม ปริมาณธุรกิจ 7,675 ล้านบาท อาทิ กลุ่มชาวนา ชาวไร่ เลี้ยงสัตว์ ประมง เลี้ยงผึ้ง เป็นต้น โดยกลุ่มเหล่านี้ต้องผ่านเกณฑ์พัฒนามาตรฐานเฉลี่ย 78% ซึ่งการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2515 ถึงปัจจุบันยังยึดหลัก 5 ข้อเพื่อช่วยเหลือสมาชิก ได้แก่ 1. บริการและส่งเสริมเกษตรกร 2. จัดซื้อปัจจัยการผลิต 3. รวบรวมผลผลิต การแปรรูป 4. จัดหาซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร และ5. สุดท้ายให้สินเชื่อและรับฝากเงิน
