“มิลล์คอนสตีล”แกร่งQ1กำไรก่อนหักภาษีพุ่งกว่า203%

18 พ.ค. 2563 | 04:01 น.
อัปเดตล่าสุด :18 พ.ค. 2563 | 11:08 น.

มิลล์คอนสตีล  โชว์ผลงาน ไตรมาสแรกปี 63  อีบิทด้าเพิ่มขึ้นกว่า203%   แม้ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับลดลง  ระบุต้นทุนขายและบริการลดลงกว่า 1 พันล้านบาท

 

 

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า  ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563  งบการเงินรวมของบริษัทมีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 247 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ขาดทุนสุทธิ 190 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม (EBITDA) 312  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 203% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มี EBITDA  จำนวน 103 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 1 ปี 2563  แม้ปริมาณขายผลิตภัณฑ์เหล็กรวมอยู่ที่ 227,692 ตัน ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่บริษัทยังคงสามารถผลักดันยอดขายเหล็กเส้นให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเหล็กเส้นมีปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“มิลล์คอนสตีล”แกร่งQ1กำไรก่อนหักภาษีพุ่งกว่า203%

ประวิทย์ หอรุ่งเรือง

ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 3,698 ล้านบาท ลดลง 870 ล้านบาท หรือลดลง 19%  เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562  เนื่องจากสถานการณ์ของราคาเหล็กโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยของไตรมาสนี้ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน  ขณะเดียวกันราคาของวัตถุดิบที่ลดลง ก็ส่งผลให้ไตรมาส1/2563 บริษัทมีต้นทุนขายและการบริการลดลง 1,092 ล้านบาท

นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า  การปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปีนี้  บริษัทมีกำไรขั้นต้น 318 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 222 ล้าบาท หรือเพิ่มขึ้น 231% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 96 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่  8.60% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 2.10%

“การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการลดลงของต้นทุนการขายและบริการ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ออกมาค่อนข้างดี  อัตรากำไรขั้นต้นขึ้นมาอยู่ที่ 8.6%  แม้สถานการณ์เหล็กในตลาดโลกจะราคาลดลง  แต่ต้นทุนการขายและบริการก็ลดลงเช่นเดียวกัน “นายประวิทย์ กล่าว

นอกจากนี้ในไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล  โดยได้บันทึกเงินปันผลค้างจ่ายจำนวน 87 ล้านบาท ซึ่งได้จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา  และจากผลการดำเนินตามที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 5,713 ล้านบาท