หลังจากที่ประกาศราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายฯซึ่งจะมีผลบังคับใช้ โดยห้ามให้มีการผลิต นำเข้า และส่งออก รวมถึงห้ามมีไว้ครอบครองสารเคมีเกษตรเพื่อจำกัดศัตรูพืชรวม 5 รายการ ซึ่งกรมวิชาการเกษตกรได้ประชาสัมพันธ์กับทุกภาคส่วนไปแล้วนั้น
นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำเตือนกลุ่มเกษตรกรในวันนี้ (30 พฤษภาคม) อีกครั้งว่า ก่อนหน้านี้กรมวิชาการเกษตร ได้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ต่อกับทุกภาคส่วนแล้ว และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ยังได้ลงนามในคำสั่งเพื่อดำเนินการตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อใช้กำจัดศัตรูพืชในการประกอบการเกษตรกรรม ต้องส่งมอบคืนวัตถุอันตรายดังกล่าวแก่ผู้ขายที่ซื้อมา ภายใน 90 หรือไม่เกินวันที่ 29 ส.ค.2563
ส่วนผู้ขายต้องรับคืนจากผู้ซื้อ แล้วรวบรวมข้อมูลการครอบครอง ส่งให้เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรภายใน 120 หรือไม่เกิน 28 ก.ย.2563
ทั้งยังกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลคำนึงถึงสุขภาพที่ดีของประชาชน ซึ่งการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าว เนื่องด้วยเป็นสารเคมีความเสี่ยงสูง เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม และทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค จึงได้ห้ามไม่ให้มีการใช้ โดยผ่านความเห็นชอบจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการวัตถุอันตราย รวมถึงภาคีเครือข่ายเกษตรกรต่างๆ
"ส่วนสารทดแทน กรมวิชาการเกษตร ได้เตรียมสารทดแทนรวมถึงข้อเสนอเกี่ยวกับการกำจัดศัตรูพืชแบบธรรมชาติไว้แล้ว เพื่อรองรับผลกระทบที่จะมีต่อเกษตรกร ขอให้มั่นใจว่า การห้ามใช้สารเคมีดังกล่าว เป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชน เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน" นางสาวไตรสุลี กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ฉบับที่ 6 พ.ศ.2563 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้โดยห้ามให้มีการผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก และมีไว้ครอบครอง สารเคมีทางการเกษตรเพื่อกำจัดศัตรูพืช 5 รายการ ประกอบด้วย 1.คอลร์ไพริฟอส 2.คลอร์ไพริส ฟอส-เมทิล 3.พาราควอต 4.พาราควอตไดคลอไรด์ และ 5.พาราควอตไดคลอไรด์ (เมทิล ซัลเฟต)