นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ปตท. มีงบลงทุนอยู่ประมาณ 1.48 แสนล้านบาท โดยจะดำเนินการเร่งรัดการลงทุนในรูปแบบที่เรียกว่า "รีสตาร์ท" (Restart) ซึ่งจะมีการเรียกพนักงานที่ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work From Home) ประมาณ 50% กลับมา เพื่อกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ปตท. เองก็จะดำเนินการเชิงรุก (Proactive) ทำการติดต่อคู่ค้า หรือพลาสเนอร์ทั้งหมด เพราะการชะลอการลงทุนไม่ได้เกิดจากทาง ปตท. เพียงอย่างเดียว โดยในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมจะนำแผนการลงทุนมาทบทวน เพื่อดูว่าอะไรที่น่าลงทุน ปตท. ก็จะเร่งรีบเข้าไปดำเนินการ ทั้งโครงการจัดซื้อจัดจ้าง หรือธุรกิจที่จะทำร่วมกับคู่ค้า และงานรับเหมา เป็นต้น
ทั้งนี้ ปตท.จะขอหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การเดินทางของคนต่างชาติระดับหัวหน้าที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนร่วมกันสามารถเข้ามาทำงานได้ภายใต้มาตรการที่เข้มข้นป้องกันการระบาดของ “โควิด -19” (Covid-19) เพราะในส่วนของพนักงานปฏิบัติงานส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในประเทศอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศจีน หรือเกาหลี
สำหรับโครงการลงทุนในครึ่งหลังปี 63 ของกลุ่ม ปตท. ที่สำคัญ ประกอบด้วย โครงการท่อก๊าซธรรมชขาติเส้นที่ 5 ,การขยายสถานีบริการน้ำมันของบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR โครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม แหล่งเอส 1 และแหล่งอาทิตย์ ของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ,สถานีเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG เทอมินอล) ,โครงการพลังงานสะอาด ( Clean Fuel Project: CFP) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และโครงการโอเลฟินส์ (Olefins Reconfiguration Project) ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC
“ช่วงครึ่งแรกของปีนี้กลุ่ม ปตท. ใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 1.2 แสนล้านบาท โดยยอมรับในช่วงวิกฤติของการระบาดโควิด-19 พันธมิตร คู่ค้า ผู้รับเหมาก่อสร้าง ประสบปัญหาในเรื่องการดำเนินงาน เพราะมีการล็อกดาวน์ มีปัญหาด้านการเดินทาง”
นายอรรถพล กล่าวต่อไปอีกถึงประเด็นเรื่องของอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ “จีดีพี” (GDP) ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะติดลบ 8.1% โดยยอมรับว่า ยอดขายของ ปตท. ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และจีดีพี ซึ่งน่าจะกระทบกับยอดขายเฉลี่ยของทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 10% ซึ่งจะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับธุรกิจของแต่ละองค์กร เช่น ปตท.สผ. ก็จะถูกกระทบประมาณ 7-8% ,GPSC กระทบประมาณ 1-2% ,ปิโตรเคมีและโรงกลั่นก็จะถูกกระทบมากหน่อยประมาณ 10-20% โดยเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นอย่างแน่นอน
“กลุ่ม ปตท.ได้ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขจีดีพีดังกล่าวได้รวมผลกระทบด้านการส่งออกเข้ามาด้วย แต่จากการคลายล็อกดาวน์ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ การใช้พลังงานในประเทศนับจากนี้จะขยายตัวมากกว่าในช่วงล็อกดาวน์”
ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นนั้น คาดว่าครึ่งหลังของปีราคาจะอยู่ที่ 40-50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนไตรมาส 2/63 จากราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น คาดว่าจะมีผลขาดทุนจากสตอกน้ำมันลดลงจากไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุนสูงมากทั้งกลุ่มประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
ส่วนกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ต้องการเร่งรัดให้นำโครงการลงทุนปี 64 มาลงทุนล่วงหน้าในปี 63 หรือลงทุนให้เร็วสุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ทางกลุ่ม ปตท.จะนำไปหารือในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงกลุ่ม ปตท. เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และทิศทางในอนาคตกลุ่ม (Strategic Thinking Session:STS) เร็ว ๆ นี้