นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. กำลังติดตามนโยบายทางด้านพลังงานของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าจะเป็นไปในทิศทางใดที่ชัดเจน โดย ไบเดน จะให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกเป็นอย่างมาก ซึ่ง ปตท. ก็จะต้องดูว่าจะส่งผลบวกหรือลบ เพราะนโยบายดังกล่าวสามารถมองได้ 2 มุม คือ หาก ไบเดน เลือกที่จะมุ่งเน้นไปในพลังงานทางเลือกเป็นหลัก พลังงานที่มาจากฟอสซิลจะไม่ดีหรือไม่
ส่วนอีกมุมหนึ่งก็คือน้ำมัน และก๊าซในสหรัฐฯเองก็น่าจะมีปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ปตท. จึงต้องติตามสถานการณ์ทางด้านนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่แนวโน้มทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกปี 64 คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลบวกลบ ซึ่งจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ซึ่งราคาน้ำมันอยู่ทีประมาณ 40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
“ปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจของ ปตท. นั้น จะอยู่ที่ปริมาณและราคา โดยปริมาณมองว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ยกเว้นบางช่วงเวลาที่มีการปิดโรงกลั่นเพื่อซ่อมบำรุง ก็จะส่งผลกระทบเรื่องของปริมาณเล็กน้อย แต่ปัจจัยที่สำคัญมากคือเรื่องราคา เพราะธุรกิจของ ปตท. จะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันค่อนข้างมาก โดยจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีการพูดถึงการขาดทุนจากการสต็อกน้ำมัน ซึ่งช่วงไตรมาส 1/63 ขาดทุนเกือบ 4 หมื่นล้านบาททั้งกลุ่ม ส่วน 9 เดือนการขาดทุนจึงทยอยปรับลดลง เพราะราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลง เหลือขาดทุนประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท โดยเป็นปัจจัยที่มีผลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. ค่อนข้างมาก”