นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่กากระทรวงพลังงาน เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) โดยมีข้อความระบุ ว่า
โครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ไม่ใช่โครงการที่คิดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไม่มีที่มาที่ไป แต่มีวิถีคิดบนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้ ผมได้ชี้แจงประเด็นนี้ไว้ในการประชุมสภาฯ รับหลักการร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 64 ดังนี้ครับ
ดังที่มีท่านสมาชิกฯ สงสัยว่าแนวคิดของ ครม. ในการกระตุ้นการใช้จ่ายโดยมุ่งพิจารณาผู้ที่มีรายได้สูง ผ่านการคิดโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ดูไม่มีที่มาที่ไปนั้น ที่จริง ครม. คิดโครงการนี้บนพื้นฐานของข้อมูลที่เรามีและเชื่อถือได้ครับ โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วงปลายปี 63 เมื่อเทียบกับปี 62 ซึ่งถึงแม้จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) แต่เรากลับพบว่ามีสภาพคล่องหรือเงินฝากที่อยู่ในบัญชีเงินฝากสูงขึ้นถึง 820,000 ล้านบาท จึงเป็นที่มาของแนวคิดโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ที่จะดึงดูดและเชิญชวนกลุ่มคนที่มีรายได้สูงหรือมีเงินฝากเป็นจำนวนมากให้มาจับจ่ายใช้สอย เพราะแม้อาจมีจำนวนไม่มาก แต่หากกลุ่มคนจำนวนไม่กี่ล้านคนนี้ใช้จ่ายเป็นหลักหมื่นหลักแสน นั่นจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน
รัฐบาลคาดหวังที่จะกระตุ้นกลุ่มคนจำนวนไม่กี่ล้านคนที่มีสภาพคล่องสูงขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมานี้ ให้จับจ่ายใช้สอยผ่านโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” เพราะถ้าดึงดูดให้เขามาเข้าร่วมในโครงการได้ ก็น่าจะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ถึง 240,000-300,000 ล้านบาท ทั้งหมดนี้คือวิถีคิดและที่มา ยืนยันว่าเราคิดโครงการแบบมีที่มาที่ไปและตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลจากความเป็นจริงครับ
#ประเทศไทยต้องไปต่อ #ขับเคลื่อนไปด้วยกัน #SupattanapongP
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ "ยิ่งใช้ยิ่งได้" และเงื่อนไข โดยพบว่า โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นโครงการใหม่ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ได้รับสิทธิไม่เกิน 4 ล้านคน ที่ชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการ ได้แก่ ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ ยกเว้นสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ ผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher)
โดยวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ e-Voucher ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิ e-Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการโดยยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1-40,000 บาทแรก ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 10 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,001-60,000 บาท ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งสิทธิ e-Voucher จะคืนเป็นวงเงินใน g-Wallet ทุกต้นเดือนถัดไป โดยไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้โดยวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการรวม 28,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นเงิน 268,000 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :