กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ผลักดันผู้ประกอบการแปรรูปกัญชงสู่พาณิชย์รองรับ BCG Model จัดประชุมสร้างความร่วมมือ “การพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชงสู่เชิงพาณิชย์” ร่วมกับ 3 สถาบันเครือข่าย สถาบันอาหาร (สอห.) สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สพว.) และสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (สสท.) ผลักดันกัญชง ให้ใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม
นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมและปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปพืชกัญชงเพื่อตอบสนองเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ของกระทรวงอุตสาหกรรม” ว่า พืชกัญชงสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์เป็นจำนวนมาก
เห็นได้จากมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมกัญชงทั่วโลก ในปี 2562 ที่มีมูลค่าประมาณ 4,410 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ย ร้อยละ 16.21 ต่อปี โดยคาดว่าภายใน 7 ปีข้างหน้า (ปี 2569) จะมีมูลค่ากว่า 14,670 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยปัจจัยสำคัญที่สามารถนำส่วนต่างๆ ของกัญชงไปใช้แปรรูปได้หลากหลายมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ วัสดุคอมโพสิต พลาสติกชีวภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ตลอดจนการนำเมล็ดและน้ำมันจากเมล็ดกัญชงมาใช้เพื่อการบริโภค โดยตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป
สำหรับมูลค่าตลาดทั่วโลกของสารสกัด CBD ที่มีฤทธิ์ระงับประสาท ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และบรรเทาอาการเจ็บป่วย รวมทั้งคุณประโยชน์ที่หลากหลายของ CBD เมื่ออยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอาหารและไม่ใช่อาหาร ซึ่งในปี 2562 มีมูลค่า 553.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ย ร้อยละ 33.5 ต่อปี และคาดว่าภายใน 7 ปีข้างหน้า (ปี 2569) จะมีมูลค่ากว่า 4,268.3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
จากการเปิดกว้างโดยการปลดล็อคทางกฎหมายทั้งด้านการผลิตและการจำหน่ายที่มีมากขึ้นในประเทศต่างๆ สำหรับประเทศไทยกัญชงได้รับการยกเว้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ ยกเว้นช่อดอกที่ยังเป็นยาเสพติด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 หากประชาชนหรือผู้ประกอบการสนใจผลิตหรือนำเข้ากัญชงจะต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากกัญชงสามารถใช้ประโยชน์ได้เพียงเฉพาะกลุ่มและวัตถุประสงค์ที่จำกัด
อย่างไรก็ตาม กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีบทบาทต่อการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมในระดับสูง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมีศักยภาพในการรองรับการเติบโตของภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการมีความพร้อมด้านการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่าง ๆ ของกัญชง ประกอบกับมีพื้นที่ว่างทางการเกษตรที่สามารถเพาะปลูกกัญชงได้ รวมทั้งกฎหมายได้เปิดกว้างให้ภาคธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ได้หลากหลายและคล่องตัวมากขึ้น
ทางด้านนางสาวพะเยาว์ คำมุข รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวว่า สศอ. ได้เล็งเห็นความสำคัญในการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำเพื่อให้เกิดการพัฒนาพืชกัญชงอย่างครบวงจร จึงได้ดำเนินโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากต้นกัญชง ได้ครบทุกส่วน
ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาเมล็ดเพื่อใช้เป็นอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (Healthy Food/Drink) แกนแห้งนำไปใช้ทำพื้นรองเท้าและยางคอมปาวด์เพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์ยางถอนขนไก่
เปลือกนำไปใช้ทำสิ่งทอเป็นเส้นด้ายกัญชงผลิตเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติ Anti Bacteria และผลิตภัณฑ์คอมโพสิต เช่น กันชนรถยนต์ และสเก็ตบอร์ด ใบใช้ประโยชน์ทำเครื่องสำอาง เช่น Skin Care และ Anti-aging ก้านใบและใบนำไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์
อีกทั้งช่อดอกนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงผ่านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตอบสนองนโยบาย BCG Model ที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
พร้อมกันนี้ อก. โดย สมอ. ได้เร่งเตรียมความพร้อมในด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพืชกัญชง โดยจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากึ่งวัตถุดิบจากพืชกัญชง จำนวน 3 มาตรฐาน ได้แก่ น้ำมันเมล็ดกัญชง น้ำมันกัญชง และสารสกัด CBD จาก กัญชงคาดว่าจะทยอยประกาศใช้ภายใน ปี 2564
ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดเหล่านี้ อก. คาดว่าจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน ก่อให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทย ตลอดจนสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ก่อให้เกิดการจ้างงานตลอดห่วงโซ่อุปทานกัญชง
และพร้อมเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตและส่งออกสินค้ากึ่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จากกัญชง เพื่อให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการแปรรูปกัญชงของอาเซียนภายใน 5 ปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :