สถานการณ์ในเมียนมานับวันยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคมนี้ การปะทะกันภายในกรุงย่างกุ้ง มีเสียงปืนดังขึ้นแทบจะทุกเขตของเมือง ในขณะที่ผมนั่งเขียนบทความนี้ มือก็เขียน หูก็ฟังเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เมืองย่างกุ้งรายงานสถานการณ์มาให้ฟัง ทำให้นึกภาพตามแล้วเกิดความคิดว่า ถ้าสถานการณ์ลากยาวต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต น่าสนใจนะครับ
ตอนเช้า 11:00 น. เสียงปืนที่เขตอินเซ่ง ซึ่งห่างจากใจกลางเมืองค่อนข้างจะไกล ก็ยังมีการปะทะกัน ที่ผมพูดว่าปะทะกันในที่นี้คือการยิงฝ่ายเดียวนะครับ เราก็พอจะทราบฝ่ายไหนยิง ฝ่ายไหนวิ่งหนีนะครับ ส่วนในฝ่ายของ CDM การออกมาเดินขบวนตามท้องถนน ก็เริ่มจะบางตาลงไปเยอะมาก เพราะแน่นอนว่าทุกคนต้องรักชีวิตของตัวเอง หรือไม่ก็พ่อแม่พี่น้อง เมื่อเห็นความไม่ปลอดภัย ก็ต้องดึงๆ ขาลูกๆ ไว้ก่อน อย่าเพิ่งออกไปเลย...ลูก เรายังไม่ว่างพอที่จะเอาตัวไปรับกระสุนนะลูก รอให้ทหารกลับกรมกองก่อน ค่อยออกไปก็แล้วกันนะ
ด้านนิคมอุตสาหกรรมลันตายา ก็มีการเผาโรงงานกันแล้ว เข้าใจว่าเป็นโรงงานของชาวจีน ผมเองที่ได้ข้อมูลมาอาจจะไม่ร้อยเปอร์เซนต์นะครับ เอาเป็นว่า “อาจจะ” ก็แล้วกัน และแหล่งข่าวก็บอกว่า ไม่แน่ใจว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายวางเพลิง เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ว่างไปสืบสวน แค่คุมสถานการณ์ก็ไม่มีเวลาว่างอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่เมียนมาก็งั้นๆ แหละ ฝีมือเป็นที่รู้กัน ทุกสถานีดับเพลิง นอกจากรถดับเพลิงที่มีจำกัดแล้ว เรายังเห็นไม้ไผ่ยาวๆ ที่ปลายมีพัดสังกะสีติดอยู่ที่ปลายไม้ ผมเคยถามน้องๆที่บริษัทที่เป็นชาวเมียนมาว่า เขาเอาพัดนี้มาทำอะไร น้องเขาบอกว่าเอามาไว้ตบดับไฟ ตายๆๆๆๆๆ หัวเราะไม่ออกเลยครับ คิดภาพไปก็ขำไปละครับ
ส่วนพนักงานงานบริษัทจัดจำหน่ายหลายๆ บริษัท ก็ประสบเคราะห์กรรมมากน้อยแตกต่างกันออกไป มีบริษัทหนึ่งที่จำหน่ายนมเปรี้ยวชื่อดังของประเทศไทย (ขอสงวนนามนะครับ) เซลส์แมนนำรถออกไปขายสินค้าที่ขตเมียวตะโก่ง ขากลับมาก็มีของแถมกลับมาด้วย คือกระสุนปืนยิงทะลุกระจกด้านหน้ารถ ผ่านไปออกทางหลังรถ โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ผมยังบอกน้องคนไทยที่ไปประจำอยู่ที่นั่นว่า วันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะออกไปขายของนะครับ มันอันตรายมาก ให้ระวังตัวเองด้วย ปะเดี๋ยวจะได้เงินชดเชยค่าทำศพที่เราไม่ได้ใช้หรอก รออีกนิด ให้สถานการณ์ดีขึ้นค่อยออกไปก็ไม่สาย ยังมีเพื่อนสมาชิกอีกสามสี่บริษัท ที่ไลน์มาถามว่า สินค้าที่ส่งไปจากไทย ติดอยู่ที่ท่าเรือย่างกุ้ง กับติดที่เมืองเมียวดี ฝั่งตรงข้ามแม่สอด จะทำอย่างไรดี ผมก็บอกว่าจนปัญญาผมจริงๆครับ เพราะวันนี้เจ้าหน้าที่เขาผละงาน ไม่กล้าไปทำงาน เราไม่รู้จะช่วยอย่างไร คงต้องอดทนต่อไปครับ
ส่วนความหวังว่าฝ่ายจีนจะออกมาช่วยเป็นผู้นำในการเจรจาไกล่เกลี่ย หลังจากที่ฯพณฯท่านหวัง อี้ รมต.ต่างประเทศของจีนได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนนี้ก็เห็นเงียบไปเลยครับ ไม่มีความคืบหน้าต่อไปเลย และรมต.ต่างประเทศของประชาคมอาเชี่ยน ที่ออกมาประชุมกันไป ก็เงียบอีกเช่นกัน จึงทำให้การเจรจาสันติภาพ ค่อนข้างจะเลือนลางลงไปทุกวัน ในขณะที่ฝ่ายของชาวเมียนมาเอง ซึ่งคู่ขัดแย้งอีกสองฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ที่ออกมาประท้วงหรือ CDM และฝ่ายพรรคการเมือง คือพรรค NLD ดูจากสถานการณ์แล้ว ก็ต่างเงียบผิดปกติ มีความวังเวงอย่างไรชอบกลครับ ถ้าจะให้ผมประเมินจากเหตุการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ผมก็จะมองแบบไม่เข้าข้างใครนะครับ รถทัวร์ไม่ต้องมาลงที่ผมนะครับ เพราะผมก็เป็นผู้เสียหายเช่นกัน บริษัทผมที่เมียนมา พนักงานสามร้อยกว่าชีวิต เขาออกไปทำงานไม่ได้ แต่ผมยังต้องจ่ายค่าจ้างและค่าใช้จ่าย เดือนละไม่ต่ำกว่าเลขเจ็ดหลักทุกเดือนอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่ผมจะไปสนับสนุนฝ่ายใด ผมอยากให้เหตุการณ์สงบโดยเร็ว โดยไม่มีการสูญเสียอยู่แล้ว ผมก็แค่มาวิเคราะห์ให้พวกเราอ่านเล่นสนุกๆเท่านั้นนะครับ
วันนี้ถ้าดูจากสถานการณ์การปราบปรามไล่ล่าจับกุมแกนนำประท้วงแล้ว ต้องบอกว่าฉากที่สองของละครเรื่องนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมเชื่อว่าทางฝ่ายของ SAC คงจะมั่นใจว่ามีความเหนือกว่าฝ่าย CDM เพราะว่าฝากฝั่งชาติตะวันตก ก็ทำได้แค่แซงชั่นเป็นรายบุคคลเท่านั้น ซึ่งเขาไม่กระทบกระเทือนอะไรเลย ดูจากการให้สัมภาษณ์ของท่าน U Soe Win ผู้ซึ่งมีบทบาทสูงในคณะผู้ก่อการ เป็นรองจากท่านพลเอกอาวุโส หมิน อ่อง ล่าย ที่พูดว่า ประเทศเมียนมาได้เคยผ่านและชินชากับการถูกแซงชั่นระดับรุนแรงมาแล้ว และประเทศเมียนมาเองต้องเลือกคบเพื่อนที่ดีให้น้อยลงเท่านั้น ผมคิดว่าทางฝ่ายSAC คงไม่ได้ยำเกรงอะไรกับทางชาติตะวันตกเลย บวกกับการอ่อนแรงของฝากฝั่ง CDM ที่วันนี้จะเห็นจำนวนผู้ประท้วงน้อยลงกว่าตอนเริ่มต้นใหม่ๆ เยอะ อีกทั้ง CDM ยังต้องคอยวิ่งหลบกระสุนปืนอยู่ตลอดเวลาในการประท้วง จึงมองไปในทิศทางนั้นครับ
อีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งผมก็เห็นว่า ผ่านมาแล้วหนึ่งอาทิตย์ ทางรัฐบาลจีนไม่ได้มีการเดินทางเข้าไปในเมียนมา เพื่อจัดการประชุมสันติภาพในรูปแบบที่ควรจะเป็น นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ หรือเป็นไปได้มั้ยครับว่า เขาอาจจะขอเข้าไปจัดการประชุมแล้ว แต่ฝ่ายของ SAC ไม่ยินยอม เพราะทางฝ่าย SAC เขาคิดว่ามีความเหนือกว่า จึงยังไม่อยากจะเจรจา ทำให้ผมย้อนคิดถึงสมัยที่ผมเด็กๆ เราชกต่อยกับเพื่อนอยู่ ถ้าเราคิดว่าเรามีความได้เปรียบคู่ต่อสู้อยู่ ถ้ามีคนมาห้ามเรา เราจะเคืองมาก ยังไม่อยากเลิกชก แต่ถ้าเรากำลังเพลี่ยงพล้ำให้คู่ต่อสู้ ในใจเราจะคิดว่า เฮ้ย....ทำไมไม่มีใครมาห้ามตูว่ะ ......ฮา
จากสถานการณ์ในวันนี้ สิ่งที่ไทยเราควรจะต้องทำเป็นอย่างยิ่ง คือการเตรียมรับมือผู้ที่จะอพยพลี้ภัยเข้ามาในประเทศไทยเราตามชายแดน ผมเชื่อเหลือเกินว่า เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะเห็นภาพผู้อพยพมากขึ้นๆๆๆทุกวัน เราต้องเตรียมตัวรับมือให้ดีนะครับ อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด อีกทั้งต้องปฎิบัติตนเยี่ยงวิญญูชนที่พึงมีจิตใจเมตตาอารีต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้านเรา อย่าได้ใช้วิธีการผลักดันเขาออกไปเลยนะครับ เขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น เราจงมีความเมตตาไว้เถอะครับ ขอร้องๆๆๆๆ