ยกระดับ “ฉีดวัคซีนโควิด” เป็นวาระแห่งชาติ นายกฯยืนยันทุกยี่ห้อปลอดภัย

11 พ.ค. 2564 | 05:17 น.
อัปเดตล่าสุด :15 มิ.ย. 2564 | 11:45 น.

นายกรัฐมนตรี สั่ง ยกระดับ “การฉีดวัคซีนโควิด” เป็นวาระแห่งชาติ ยืนยันทุกยี่ห้อปลอดภัย-มีมาตรฐาน ลั่นไทยจะเป็นศูนย์กลางผลิตแอสตร้าเซนเนก้าของอาเซียน

วันที่ 11 พ.ค. 64 เวลา 12.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมครม.ว่า วันนี้ได้เสนอครม.ให้ “การฉีดวัคซีนโควิดเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งการจัดหา การกระจายและฉีดวัควีน จึงขอเชิญชวนประชาชนมาฉีดวัคซีนให้มากที่สุด 

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า วัคซีนโควิดทุกยี่ห้อที่นำเข้ามาทั้งหมดมีความปลอดภัยและได้ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในต่างประเทศก็ให้การยอมรับ มีผู้นำหลายประเทศก็ฉีดเช่นเดียวกัน 

นายกฯ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนเก้าของอาเซียน และรับปากจะจัดหาวัคซีนให้คนไทยได้ฉีดทุกคนและสำรองในการใช้ 

"ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ผมได้เสนอให้การฉีดวัคซีนเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร ทั้งการจัดหา การกระจาย ไปจนถึงการฉีดด้วย เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศไทยของเรานะครับ"

นายกฯ กล่าวว่า แต่สิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเป็นจริงไปไม่ได้เลย หากพี่น้องประชาชนในประเทศไทย ไม่มา เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19จึงอยากขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกคน มาเข้ารับการฉีดวัคซีนกัน ให้มากที่สุด ประเทศไทยจึงจะไปต่อได้

ขอยืนยันว่า วัคซีนที่รัฐบาลนำเข้าทุกชนิด มีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีคนฉีดไปแล้วหลายสิบล้านคน รวมทั้งผู้นำประเทศทั่วโลก โดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างยืนยันว่า วัคซีนโควิดทุกชนิด สามารถป้องกัน

การป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100% ส่วนโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงนั้นมีน้อยมากๆ หากเปรียบเทียบกันแล้ว โอกาสในการติดโควิด และเสียชีวิตจากโควิดนั้นมีสูงกว่า การฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงหลายพันเท่า และในการฉีดแต่ละครั้ง จะมีแพทย์ผู้ทำการประเมิน ความเหมาะสม และคอยเฝ้าดูอาการหลังฉีดอีกด้วย ซึ่งผมเอง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างก็ฉีดวัคซีนโควิดกันไปแล้วโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

และล่าสุด จากการเปิดลงทะเบียนยืนยันและนัดหมายการฉีดวัคซีน ผ่านระบบ “หมอพร้อม” และช่องทางต่างๆ / สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง มีผู้ลงทะเบียนแล้ว กว่า 1.6 ล้านคน สูงสุด คือ กทม. กว่า 5 แสนคน ตามมาด้วยลำปาง ซึ่งมียอดมากกว่า 2 แสนคน ซึ่งหากนับตามสัดส่วนประชากร ก็ต้องถือว่าลำปางมีสัดส่วนสูงที่สุดในประเทศ นับว่ามีความตื่นตัวในพื้นที่อย่างดีเยี่ยม

ด้วยการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร และทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ต้องขอชื่นชมจังหวัดลำปาง และขอเป็นกำลังใจ ให้ทุกๆ จังหวัด มีจำนวนผู้มาขอรับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :