รายงานข่าวระบุว่า นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ (หมอมนูญ) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC) โดยมีข้อความระบุว่า
เคยตั้งคำถามบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ว่าทำไมไม่แนะนำให้ความสำคัญของการฉีดวัคซีนโดสแรกก่อน สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาในภาวะที่มีวัคซีนไม่เพียงพอ ในขณะที่วัคซีนอื่นที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกันวัคซีนบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ของประเทศสหรัฐอเมริกา วัคซีนสปุตนิก (Sputnik) ของประเทศรัสเซีย และวัคซีนแคนซิโน (Cansino) ของประเทศจีน ให้โดสเดียวจบ ไม่ต้องให้ 2 โดสดังที่บริษัทแอสตร้าเซนเนก้ากำหนดไว้
ล่าสุดบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าออกข่าวประชาสัมพันธ์ แนะนำประเทศที่ยังมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในปริมาณน้อยไม่เพียงพอ ขอให้มั่นใจในการฉีดเข็มแรก และลดความกังวลในการจัดหาวัคซีนโดสที่ 2 สำหรับประชาชน สามารถให้โดสที่ 2 เว้นระยะห่างจากโดสแรกนานกว่า 10 เดือน
จากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ฉบับก่อนตีพิมพ์ในวารสาร เดอะแลนเซต ระบุว่า
1.การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า 1 โดส มีผลทำให้ระดับแอนติบอดีในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี และยังส่งเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ที เซลล์ในร่างกายได้นานถึง 182 วัน
2.การเว้นระยะห่างในการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าโดสแรกและโดสที่ 2 นาน 45 สัปดาห์ มีผลกระตุ้นให้ระดับแอนติบอดีในร่างกายเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า สูงกว่าเว้นระยะห่างระหว่างโดส 12 สัปดาห์ 4 เท่า บ่งชี้ว่าการเว้นระยะห่างระหว่างโดสที่นานขึ้น ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสีย แต่กลับมีผลดี ช่วยกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นอีก (ดูรูป)
3.การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าโดสที่ 2 ซึ่งเว้นระยะห่างขึ้น พบการเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่ำกว่าการฉีดวัคซีนโดสแรก
ประเทศไทยควรปูพรมฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรกให้กับทุกคน จำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักของโรคโควิด-19 ที่ต้องเร่งฉีดวัคซีนแอสตร้าให้ประชาชนเข็มแรกให้ทั่วถึงก่อนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ สามารถชะลอเข็มที่ 2 ได้นานถึง 45 สัปดาห์
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมตัวเลขสถานการณ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 (Covid-19) ในประเทศไทย วันที่ 28 ก.พ.- 4 ก.ค. 64 จากศูนย์ข้อมูล COVID-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีการฉีดสะสม 10,777,784 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 สะสม 7,80,4654 ราย และเข็มที่ 2 สะสม 2,973,094 ราย